วันจันทร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2556

Road to Brazil : ที่มาที่ไป 32 ทีมสุดท้ายสู่ฟุตบอลโลก 2014 ก่อนจับติ้ว



เริ่มนับถอยหลังแล้วสำหรับการจับสลากฟุตบอลโลก 2014 รอบสุดท้ายที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันนี้(ศุกร์ที่ 6 ธค.)เวลา 5 ทุ่มบ้านเราเลยมาทบทวนความจำดูข้อมูลกันหน่อยว่าทั้ง 32 ทีมสุดท้ายผ่านอะไรกันมาบ้าง

งานนี้ขอรวบรวมข้อมูลจากสกาย สปอร์ตและ Goal.com เป็นความแปลมาให้อ่านกันว่าเส้นทางทั้งหมดไปมาอย่างไร เรื่องของการจับสลากเป็นยังไง รวมถึงนักเตะสตาร์ที่จะไปปรากฏตัวที่โน่น

ยุโรป

เบลเยี่ยม

ผ่านเข้ารอบมายังไง : แชมป์กลุ่มในรอบคัดเลือก

ผู้จัดการทีม : มาร์ก วิลมอตส์

ฟีฟ่า แรงค์กิ้ง : อันดับ 11

ผลงานดีที่สุดในฟุตบอลโลก : รอบรองชนะเลิศ(ปี 1986)

นักเตะคีย์แมน : เอแด็ง อาซาร์ 

เบลเยี่ยมผ่านเข้ารอบฟุตบอลโลกถึง 6 สมัยติดในระหว่างปี 1982 จนถึงปี 2002 และนี่จะเป็นหนแรกที่พวกเขาไปสัมผัสบรรยากาศเหล่านั้นอีกครั้งนับตั้งแต่หมคยุคนั้นมา ไม่ใช่เรื่องแปลกหากบอกว่าทีมชุดนี้ถูกคาดหวังไว้เยอะเนื่องจากประกอบไปด้วยกลุ่มนักเตะที่ดูดีที่สุดนับตั้งแต่หมดยุคของเอ็นโซ ชีโฟ่และพ้องเพื่อนที่พา"ปีศาจแดงแห่งยุโรป"ผ่านเข้าสู่รอบน็อคเอาท์ได้สามหนติด

แวร์นซอง กอมปานี, เอแด็ง อาซาร์, มารูยาน เฟลไลนี่, โรเมลู ลูกากู, ยาน แฟร์ทองเก้, โธมัส แฟร์มาเล่น, เควิน มิราญาส, เควิน เดอ บรอยน์และคริสเตียน เบนเทเก้เป็นที่รู้จักกันในบรรดาผู้ชมของพรีเมียร์ลีกอยู่แล้วและงานนี้อาจไม่ใช่เพียงม้ามืดอีกต่อไป

พวกเขายังดูเข้าขากันแล้วหลังการันตีการผ่านเข้ารอบด้วยการเอาชนะโครเอเชียอีกทีมแข็งไป 2-1 ที่ซาเกร็บ กระนั้นงานที่หนักกว่านี้ยังรอวิลม็อตส์อยู่ในบราซิลแต่ทีมหนุ่มทีมนี้ก็พัฒนาขึ้นเรื่อยๆและอาจก้าวขึ้นมาท้าชิงกับเขาด้วยอีกราย

บอสเนียและเฮอร์เซโกวิน่า

ผ่านเข้ารอบมายังไง : แชมป์กลุ่มในรอบคัดเลือก

ผู้จัดการทีม : ซาเฟท ซูซิช

ฟีฟ่า แรงค์กิ้ง : อันดับ 21

ผลงานดีที่สุดในฟุตบอลโลก : ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายหนแรก

นักเตะคีย์แมน : เอดิน เซโก้

กลุ่ม จีที่ดูเหมือนไม่มีอะไรกลายเป็นต้องลุ้นถึงหยดสุดท้ายเหมือนกัน จนในที่สุดบอสเนียก็ผ่านเข้าสู่ฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายเป็นหนแรก ในเกมสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่มทั้งกรีซและบอสเนียมีแต้มเท่ากันที่ 22 แต้ม โดยที่กรีซเจองานง่ายกว่าพบกับลิชเท่นสไตน์ในบ้าน ส่วนบอสเนียต้องไปเยือนลีธัวเนีย

ดิมิทริออส ซัลพินกิดิสทำให้ทีมเทพนิยายออกนำก่อน นั่นหมายความว่าบอสเนียจำต้องยิงประตูให้ได้จนในที่สุดเวดาด อิบิเซวิชยิงประตูในช่วง 20 นาทีสุดท้ายทำให้เกมจบลงที่การมีแต้มเท่ากันและในที่สุดบอสเนียก็เข้ารอบอัติโนมัติด้วยประตูได้เสีย

บอสเนียต้องขอบคุณผลงานอันยอดเยี่ยมระหว่างอิบิเซวิชและเอดิน เซโก้หัวหอกคู่หูประจำชาติที่ทำประตูได้รวมกันถึง 18 ตุงโดยที่เซโก้ทำได้น่าประทับใจยิงได้ 10 ประตูจาก 10 เกมด้วย

โครเอเชีย

ผ่านเข้ารอบมายังไง : ชนะเพลย์ออฟ

ผู้จัดการทีม : นิโก้ โควัช

ฟีฟ่า แรงค์กิ้ง : อันดับ 16

สถิติฟุตบอลโลก : อันดับ 3(ปี 1998)

นักเตะคย์แมน : ลูก้า โมดริช

โครเอเชียผ่านถึงรอบเพลย์ออฟจนได้แม้เซอร์เบียจะเบียดเข้ามาในช่วงโค้งสุดท้ายจนจบลงที่ห่างกัน 3 แต้ม อย่างไรก็ตามผลงานช่วงท้ายของ"ตราหมากรุก"ออกแนวน่าผิดหวังหาชัยชนะใน 4 เกมสุดท้ายไม่เจอ รวมถึงพ่ายให้สก็อตแลนด์ถึง 2 นัดด้วย ท้ายที่สุดก็ต้องตามหลังเบลเยี่ยมแชมป์กลุ่มถึง 9 คะแนน ถือเป็นการจบรอบคัดเลือกที่น่าผิดหวังหลังออกสตาร์ทด้วยการไม่แพ้ใคร 6 นัดแรก

ในเพลย์ออฟพวกเขาเองก็ยังต้องแอบลุ้นเพราะนัดแรกเสมอกับไอซ์แลนด์ไป 0-0 แต่ก็จบลงที่ได้ดาริโอ เซอร์น่าและมาริโอ มานด์ซูกิชช่วยกันยิงคนละตุง

กระนั้นแม้จะจบแบบตะกุกตะกักไปหน่อยแต่แข้งพรสวรรค์ภายในทีมของพวกเขาก็ใช่ว่าจะถูกเมินกันได้ แผงมิดฟิลด์พวกเขาน่าอิจฉาไม่น้อยมีทั้งนิโก้ ครานชาร์, อิวาน ราคิติช, มิลาน บาเดลจ์และสตาร์ดังที่สุดของพวกเขา ลูก้า โมดริช

ผลงานของโมดริชกับเรอัล มาดริดนั้นดีขึ้นอย่างมากและเขาจะเป็นตัวช่วยสนับสนุนแผงกองหน้าของทีมที่ไม่ใช่ย่อยๆนอกจากมานด์ซูกิชแล้วยังมีทั้งอิวิก้า โอลิช, เอดูอาร์โด้และนิกิชา เยลาวิชพร้อมจบสกอร์ให้

อังกฤษ

ผ่านเข้ารอบมายังไง : แชมป์กลุ่มในรอบคัดเลือก

ผู้จัดการทีม : รอย ฮอดจ์สัน

ฟีฟ่า แรงค์กิ้ง : อันดับ 13

ผลงานในฟุตบอลโลก : แชมป์ 1 สมัย(ปี 1966)

นักเตะคีย์แมน : เวย์น รูนี่ย์

เหล่าผู้ดีหายใจโล่งกันไปตามๆกันหลังเวย์น รูนี่ย์และสตีเฟ่น เจอร์ราร์ดยิงประตูใส่โปแลนด์ช่วยการันตีให้พวกเขาผ่านเข้ารอบแบออัตโนมัติ เป็นอีกเกมที่มอบความรู้สึกที่ต่างกันออกไปอาจเป็นได้เหมือนกับฟรีคิกนาทีสุดท้ายของเดวิด เบ็คแฮมใส่กรีซหรืออกหักเอาเหมือนปี 2007 ที่แพ้โครเอเชียจนอดไปยูโร

สุดท้ายพวกเขาก็ยิ้มออกด้วยผลงานเอาชนะ 2-0 ทำให้ยูเครนที่ลุ้นแซงทำได้เพียงจบเป็นรองแชมป์กลุ่ม ถึงแม้ผลงานดูน่าผิดหวังนิดหน่อยเสมอไป 4 นัดแต่พวกเขาก็ไม่ได้แพ้ใครแถมเสียประตูเพียงแค่ 4 ลูกและยิงได้ 31 ประตู

ฝรั่งเศส

ผ่านเข้ารอบมายังไง : ชนะเพลย์ออฟ

ผู้จัดการทีม : ดิดิเยร์ เดส์ชองส์

ฟีฟ่า แรงค์กิ้ง : อันดับ 19

สถิติฟุตบอลโลก : แชมป์ 1 สมัย(ปี 1998)

นักเตะคีย์แมน : ฟรองค์ ริเบรี่

ก่อนหน้านี้ดูเหมือนว่าฝรั่งเศสจะอดไปลุยฟุตบอลโลกเสียแล้วหลังพ่ายให้ยูเครนในกรุงเคียฟไป 2-0 แต่สุดท้ายพวกเขาก็ระเบิดฟอร์มกลับมาในนัดสองเอาชนะไป 3-0 ที่มีโอกาสจบสกอร์มากถึง 24 ครั้งแซงหน้าคว้าตั๋วไปลุยบราซิลและทำให้พวกเขาผ่านเข้าสู่ฟุตบอลโลกเป็นสมัยที่ 5 ติดต่อกัน

แผงกลางที่น่าประทับใจของ"ตราไก่"มีทั้งซามีร์ นาสรี่, พอล พ๊อกบาและโยฮัน กาบายแต่ช่วงนี้ก็ถูกกลบรัศมีโดยฟรองค์ ริเบรี่ที่เป็นหนึ่งในนักเตะตัวขับเคลื่อนให้บาเยิร์น มิวนิคได้แชมป์พร้อมกับมีหลายเสียงยกให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมประจำปี 2013

เช่นเดียวกับโรนัลโด้ หากริเบรี่ไม่ได้ไปอวดฝีเท้าให้เห็นกันในปีหน้าก็คงจะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายแต่ท้ายที่สุดก็จะได้มีโอกาสไปอวดฝีเท้าให้ทั้งโลกชมอีกครั้ง

ฝรั่งเศสเป็นอีกทีมที่คาดเดาอะไรไม่ได้จากฟุตบอลโลกครั้งผ่านๆมาแต่พวกเขาก็ยังมีทีมที่ดีพอสำหรับการก้าวขึ้นเป็นไปเป็นหนึ่งในผู้ท้าชิงแชมป์อย่างแท้จริง

เยอรมนี

ผ่านเข้ารอบมายังไง : แชมป์กลุ่มในรอบคัดเลือก

ผู้จัดการทีม : โยอาคิม เลิฟ

ฟีฟ่า แรงค์กิ้ง : อันดับ 2

สถิติฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย : แชมป์ 3 สมัย(ปี 1954, 1974, 1990)

นักเตะคีย์แมน : เมซุท โอซิล

เยอรมนีถูกโอบล้อมด้วยความรู้สึกว่าได้ห่างหายจากการเป็นแชมป์ทัวร์นาเมนต์ใหญ่มานานแล้วจนเกิดความคาดหวังตามมา พวกเขาเฉียดเข้าใกล้กับแชมป์ยูโร 2 หนหลังและในฟุตบอลโลกพวกเขาเป็นทั้งรองแชมป์กับอันดับ 3 ใน 3 สมัยหลังสุด กระนั้นแชมป์สุดท้ายที่พวกเขาคว้ามาได้ต้องย้อนไปจนถึงยูโรปี 96 เลยทีเดียว นี่จึงเป็นโอกาสที่พวกเขาจะกลับมาผงาดแบบเต็มที่อีกครั้ง

นอกเหนือจากนักเตะสำคัญของทีมที่ส่วนใหญ่ขนมาจากทีมบาเยิร์น มิวนิคแล้ว เลิฟยังฝากความหวังเอาไว้กับเมซุท โอซิลของอาร์เซน่อลรวมถึงแมตส์ ฮุมเมลส์และมาร์โก้ รอยส์สองสตาร์แห่งโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ พวกเขาทำผลงานในรอบคัดเลือกได้เยี่ยมกำราบทีมร่วมกลุ่มกระจุย 9 จาก 8 นัดแรกได้หมดหลุดเสมอกับสวีเดน 4-4 เพียงแค่เกมเดียวเท่านั้นและเป้าหมายของพวกเขาคือเป็นที่หนึ่งในบราซิลปีหน้า

กรีซ

ผ่านเข้ารอบมายังไง : ชนะเพลย์ออฟ

ผู้จัดการทีม : เฟอร์นานโด ซานโตส

ฟีฟ่า แรงค์กิ้ง : อันดับ 12

สถิติฟุตบอลโลก : รอบแบ่งกลุ่ม

นักเตะคีย์แมน : โซคราติส ปาปาสทาโธปูลอส

แม้จะเคยผ่านการคว้าแชมป์ยูโรมาในปี 2004 แต่กรีซก็เพิ่งได้สัมผัสฟุตบอลโลกหนนี้เป็นหนที่ 3 ในประวัติศาสตร์เท่านั้นโดยหนแรกของพวกเขาก็ชื่อช่วงปี 1994 เข้าไปแล้ว

พวกเขาโชคร้ายที่พลาดการเข้ารอบแบบอัตโนมัติหลังบอสเนียเบียดเข้ารอบไปด้วยประตูได้เสียทำให้ทีมเทพนิยายต้องไปเพลย์ออฟกับโรมาเนียและคอนสตานตินอส มิโตรกลูกลายเป็นฮีโร่ของพวกเขาหลังยิงเบิ้ลในเกมเลกแรกช่วยให้เอาชนะ"ผีดิบ"ไป 3-1 ก่อนเก็บผลเสมอได้นัดที่สองได้ไปลุยอเมริกาใต้อีกทีม

หลังเทรอานอส เดลลาสและมิคาลิส คาสซิซเป็นแนวรับตัวหลักผู้นำความสำเร็จสู่พวกเขาในปี 2004 ซานโตสก็หวังว่าปาปาสทาโธปูลอสจะทำได้ในแบบคล้ายๆกันหลังเซ็นเตอร์ดอร์ทมุนด์ผู้นี้ได้ลงสนามไปไม่น้อยแล้วนับตั้งแต่ย้ายจากแวร์เดอร์ เบรเมนมา อีกทั้งจะมีวาซิลิส โทโรซิดิสกับโจเซ่ โฮเลบาสคอยยืนอยู่ในแนวรับร่วมกับเขาด้วย

ถึงแม้เกมรุกของพวกเขาจะไม่ได้โดดเด่นอะไรแต่เกมรับของพวกเขาก็ทำได้เยี่ยมเสียประตูไปแค่ 4 ลูกเท่านั้นในรอบคัดเลือกและอาจจะเป็นทีมที่ทำให้คู่แข่งที่อึดอัดกันบ้างในการเจอกันปีหน้า

อิตาลี

ผ่านเข้ารอบมายังไง : แชมป์กลุ่มในรอบคัดเลือก

ผู้จัดการทีม : เซซาเร่ ปรันเดลลี่

ฟีฟ่า แรงค์กิ้ง : อันดับ 7

สถิติฟุตบอลโลก : แชมป์ 4 สมัย(ปี 1934, 1938, 1982, 2006)

นักเตะคีย์แมน : อันเดรีย ปิร์โล่

ชัยชนะ 2-1 เหนือเช็กในวันที่ 10 กันยายนเป็นการการันตีว่าพวกเขาจะได้ไปลุยฟุตบอลโลก 2014 แบบอัตโนมัติด้วยการคว้าแชมป์กลุ่มทั้งที่ยังเหลือเกมให้ลงสนามอีก 2 นัด อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่ได้ผ่านเช็กมาง่ายๆหลังโดนนำไปก่อนแต่สุดท้ายมาริโอ บาโลเตลลี่นี่เองยิงจุดโทษเป็นประตูชัยให้เอาชนะจนได้

"อัซซูรี่"จะปรากฏตัวในฟุตบอลโลกเป็นหนที่ 18 แล้วและเจ้าของแชมป์ปี 2006 ก็มาพร้อมกับความคาดหวังที่สูง ผลงานพวกเขาในรอบคัดเลือกก็ถือว่ายังน่าชื่นชมแม้เสมอไปถึง 4 นัดแต่พวกเขาก็ไม่ได้แพ้ให้ใครและเป็นที่รู้กันว่าพวกเขาเป็นทีมที่ยิ่งเข้ารอบลึกๆยิ่งแข็งแกร่ง

ฮอลแลนด์

ผ่านเข้ารอบมายังไง : คว้าแชมป์กลุ่มในรอบคัดเลือก

ผู้จัดการทีม : หลุยส์ ฟาน กัล

ฟีฟ่า แรงค์กิ้ง : อันดับ 9

สถิติฟุตบอลโลก : รองแชมป์ 3 สมัย(ปี 1974, 1978, 2010)

นักเตะคีย์แมน : โรบิน ฟาน เพอร์ซี่

ฮอลแลนด์มีโอกาสที่จะคว้าแชมป์โลกสมัยแรกอันรอคอยมานานแสนนานอีกครั้งด้วยผลงานเข้ารอบสู่บราซิลในฐานะแชมป์กลุ่ม ชัยชนะ 2-0 เหนืออันดอร์ร่าในวันที่ 10 กันยายนทำให้พวกเขาตีตั๋วทั้งที่ยังเหลือเกมให้ลงสนาม 2 นัดเช่นเดียวกับอิตาลี

"กังหันสีส้ม"ทำแต้มหล่นเพียงแค่ 2 คะแนนเท่านั้นในเกมที่เสมอกับเอสโตเนียแบบเซอร์ไพรส์ไม่น่าเชื่อและก็หวังให้หนนี้พวกเขาจะไปได้สวยตลอดเส้นทาง แต่แรงจูงใจหลักๆของทีมแน่นอนว่าหนีไม่พ้นนัดชิงชนะเลิศปี 2010 ที่พ่ายให้สเปนรวมถึงในช่วงยุคทองของพวกเขาที่จบเพียงแค่เป็นรองแชมป์ปี 1974 กับ 1978 ด้วย

แน่นอนว่าฟาน เพอร์ซี่ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดจะเป็นอาวุธหลักในแดนหน้าหลังยิงได้เท่ากันกับเซโก้ในรอบคัดเลือก นอกเหนือจากนี้ยังมีอาร์เยน ร็อบเบนอีกหนึ่งปีกตัวหลักของทีมรวมถึงเหล่าซีเนียร์ที่จะคอยนำทางแข้งดาวรุ่งหน้าใหม่ที่คาดว่าจะถูกเรียกติดทีมกันไม่น้อย

โปรตุเกส

ผ่านเข้ารอบมายังไง : ชนะในเพลย์ออฟ

ผู้จัดการทีม : เปาโล เบนโต้

ฟีฟ่า แรงค์กิ้ง : อันดับ 5

สถิติฟุตบอลโลก : อันดับ 3(ปี 1966)

นักเตะคีย์แมน : คริสติอาโน่ โรนัลโด้

ทีมของเบาโล เบนโต้จบรอบคัดเลือกด้วยการมีแต้มตามหลังรัสเซียของฟาบิโอ คาเปลโล่เพียงแค่แต้มเดียวซึ่งส่วนนึงก็หนีไม่พ้นผลเสมอกับไอร์แลนด์เหนือและอิสราเอลในบ้านอันน่าผิดหวังทำให้พวกเขาชวดโอกาสผ่านเข้ารอบออโต้

กระนั้นการปะทะกันอันเป็นที่จับตามองมากที่สุดในรอบเพลย์ออฟระหว่างคริสติอาโน่ โรนัลโด้จ่ายมุมแดงโปรตุเกสและซลาตัน อิบราฮิโมวิชจากมุมเหลืองน้ำเงินไม่ได้ทำให้ผิดหวังเลยด้วยผลรวม 2 นัดที่จบลง 4-2 ส่งพวกเขารอบแถมทุกประตูในเพลย์ออฟมาจากทั้งโรนัลโด้และอิบราฮิโมวิชอีกต่างหาก

นอกเหนือจากโรนัลโด้แล้ว"ฝอยทอง"ยังมีนักเตะพรสวรรค์อย่างเจา มูตินโญ่, ราอูล เมเรเลสหรือแม้แต้เปเป้อยู่ในทีมด้วยทำให้พวกเขาเองก็ดูแข็งแกร่งอยู่ไม่น้อยหน้าใคร

ไม่ว่าทีมไหนที่มีโรนัลโด้อยู่ด้วยก็ทำให้เป็นงานยากในการเอาชนะ และถึงแม้จะทำผลงานได้ดีในระดับสโมสรแต่กับระดับชาติเขายังไม่ได้สมหวังเสียทีและหากเกิดพาทีมประสบความสำเร็จได้ในปีหน้าเขาก็จะเป็นอีกหนึ่งยอดนักเตะตลอดกาลแบบไม่มีข้อกังขาใดๆเลย

รัสเซีย

ผ่านเข้ารอบมายังไง : คว้าแชมป์กลุ่มรอบคัดเลือก

ผู้จัดการทีม : ฟาบิโอ คาเปลโล่

ฟีฟ่า แรงค์กิ้ง : อันดับ 22

สถิติฟุตบอลโลก : อันดับที่ 4(ปี 1966)

นักเตะคีย์แมน : อเล็กซานเดอร์ เคอร์ชาคอฟ

ถึงแม้ในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมาพวกเขาฟอร์มตกพ่ายให้กับไอร์แลนด์เหรือและโปรตุเกสแต่ก็กลับมาคว้าแชมป์กลุ่มและเข้าไปลุยฟุตบอลโลกหนแรกนับตั้งแต่ปี 2002

ในกลุ่มนี้พวกเขาแข่งขันแบบตาต่อตาฟันต่อฟันแย่งตั๋วกับโปรตุเกสเพียงแค่ทีมเดียวและด้วยผลงานชนะ 7 เสมอ 1 แพ้ 2 ยังเพียงพอให้พวกเขาเฉือนโปรตุเกสตีตั๋วอัตโนมัติด้วยความห่างเพียง 1 แต้ม

อเล็กซานเดอร์ เคอร์ชาคอฟเป็นดาวซัลโวประจำทีมให้พวกเขาและยริ เชร์คอฟอดีตนักเตะเชลซีก็ทำผลงานได้น่าประทับใจในรอบแบ่งกลุ่ม ในขณะที่กองหลังมากประสบการณ์อย่างเซอร์เก อิกนาเชวิชอาจเล่นทะลุร้อยนัดเอาที่บราซิลปีหน้า

สเปน

ผ่านเข้ารอบมายังไง : แชมป์กลุ่มรอบคัดเลือก

ผู้จัดการทีม : บิเซนเต้ เดล บอสเก้

ฟีฟ่า แรงค์กิ้ง : อันดับ 1

สถิติฟุตบอลโลก : แชมป์ 1 สมัย(ปี 2010)

นักเตะคีย์แมน : อันเดรส อิเนียสต้า

ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรมากมายนักที่พวกเขาคว้าตั๋วลุยฟุตบอลโลกแบบอัตโนมัติ อย่างไรก็ตามไม่ถึงกับโปรยด้วยกลีบกุหลาบไปตลอดทางเพราะพวกเขาต้องแก่งแย่งตำแหน่งกับฝรั่งเศสที่ถูกจับมาอยู่ร่วมกลุ่มเดียวกัน

"กระทิงดุ"มีสะดุดเอากลางทางเสมอกับฝรั่งเศสและเอาชนะฟินแลนด์ไม่ได้โดนตีเสมอเอาท้ายเกมทำให้พวกเขาต้องยืดเวลาเฮออกมาอีกจนสุดท้ายเก็บชัย 4 นัดรวดในเกมที่เหลือทำได้ 7 ประตูเสียแค่ลูกเดียวส่งฝรั่งเศสไปเล่นเพลย์ออฟแทน

แต่ถึงแม้จะไม่แพ้ใครในรอบคัดเลือกแต่คนที่เป็นดาวซัลโวของพวกเขาคือเปโดรโดยทำประตูได้น้อยเพียงแค่ 4 ลูกเท่านั้นเอง

สวิตเซอร์แลนด์

ผ่านเข้ารอบมายังไง : คว้าแชมป์กลุ่มรอบคัดเลือก

ผู้จัดกรทีม : ออทท์มาร์ ฮิตซ์เฟลด์

ฟีฟ่า แรงค์กิ้ง : อันดับ 8

สถิติฟุตบอลโลก : รอบก่อนรองชนะเลิศ(ปี 1934, 1938, 1954)

นักเตะคีย์แมน : แซร์ดาน ชาคิรี่

สวิตเซอร์แลนด์แดนนาฬิกาผ่านเข้าสู่ฟุตบอลโลกหนสุดท้ายเป็นครั้งที่ 3 ติดต่อกันแล้ว พวกเขาไม่ได้ผ่านเข้ารอบติดต่อกันเยอะเท่านี้นับตั้งแต่ปีที่เป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกเองในปี 1954 แต่ก็แสดงให้เห็นว่าพวกเขาได้รับผลประโยชน์จากากรที่ลงทุนพัฒนานักเตะระดับเยาวชนขึ้นมาไปเต็มๆ

ทีมที่จะไปลุยบราซิลซัมเมอร์หน้าคงจะมีนักเตะหลายคนที่คว้าแชมป์โลกรุ่นอายุไม่เกิน 17 ปีในปี 2009 รวมถึงทีมที่เข้าถึงรอบชิงชนะเลิศยูโรยู่-21ปี 2011 ร่วมทัพกันไปไม่น้อย

การมีแซร์ดาน ชาคิรี่ปีกของบาเยิร์น มิวนิคที่เป็นโกลเด้นบอยของชาติรวมถึงการมีออทท์มาร์ ฮิตซ์เฟลด์คุมบังเหียนทำให้น่าจับตามองไม่น้อย แถมผลงานรอบคัดเลือกพวกเขาก็ไม่ธรรมดาผ่านเข้ารอบโดยที่ไม่พ้ายให้กับใครเลย

อเมริกาใต้

อาร์เจนติน่า

ผ่านเข้ารอบมายังไง : แชมป์กลุ่มโซนอเมริกาใต้

ผู้จัดการทีม : อเลฮันโดร ซาเบลล่า

ฟีฟ่า แรงค์กิ้ง : อันดับ 3

สถิติฟุตบอลโลก : แชมป์ 2 สมัย(ปี 1978, 1986)

นักเตะคีย์แมน : ลิโอเนล เมสซี่

ด้วย"ฟ้าวขาว"ถล่มปารากวัย 5-2 มีลิโอเนล เมสซี่ยิงสองเม็ดในเกมนัดที่ 14 ทำให้พวกเขากลายเป็นทีมแรกในโซนอเมกาใต้ตามหลังบราซิลเจ้าภาพลุยฟุตบอลโลกปีหน้าได้สำเร็จ 

หลังฟุตบอลโลก 2010 พวกเขาตกรอบด้วยการโดนเยอรมนียิงถล่มยับเยิน 4-0 ในรอบก่อนรองชนะเลิศ อาร์เจนติน่าหวังว่าพวกเขาจะสิ้นสุดการรอคอยอันยาวนานไม่ได้สัมผัสแชมป์มาตั้งแต่ปี 1986 เสียทีและทุกสายตาจะจับจ้องไปที่เมสซี่ด้วยหลายคนที่มักพูดถึงเขาว่าเป็นนักเตะที่ดีที่สุดจักรวาลด้วยผลงานระดับสโมสรแต่กับทีมชาติเขายังพาทีมสัมผัสแชมป์ไม่ได้

ผลงานของอาร์เจนติน่าในรอบคัดเลือกนั้นก็ถือว่าน่าชื่นชมเสมอไป 5 แพ้เพียงแค่ 1 ในตอนที่พวกเขาตีตั๋วเข้ารอบได้แต่ก็ยังไงพวกเขาก็เป็นอีกหนึ่งตัวเต็งสำหรับปีหน้าอยู่ดี

บราซิล

ผ่านเข้ารอบมายังไง : เจ้าภาพ

ผู้จัดการทีม : หลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่

ฟีฟ่า แรงค์กิ้ง : อันดับ 10

สถิติฟุตบอลโลก : แชมป์ 5 สมัย(ปี 1958, 1962, 1970, 1994, 2002)

นักเตะคีย์แมน : เนย์มาร์

เจ้าของแชมป์โลกห้าสมัยได้ไปลุยฟุตบอลโลกแบบอัตโนมัติอยู่แล้วเพราะเป็นเจ้าภาพแต่พวกเขาก็ต้องเจอกับความกดดันที่อยากเห็นพวกเขากลายเป็นทีมที่ดีที่สุดในโลกอีกครั้งนึง

บราซิลคว้าแชมป์ได้ในปี 2002 แต่บราซิลเจอกับประสบการณ์ความผิดหวังตกรอบก่อนรองชนะเลิศมาในฟุตบอลโลก 2 หนหลังสุดและในช่วงซัมเมอร์นี้พวกเขาเพิ่งหลุดออกจาก 20 อันแรกแรกของฟีฟ่า แรงค์กิ้งไป แต่สุดท้ายหลังสโคลารี่ก้าวเข้ามาเป็นกุนซือเมื่อปี 2012 ก็ช่วยเรียกความมั่นใจของพวกเขากลับมาจนได้

สโคลารี่ผู้พาทีมประสบความสำเร็จในปี 2002 ก้าวเข้ามาพร้อมกับการตัดสินใจที่ไม่มีปรานีและก็ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับพวกเขาเอง ชัยชนะเหนือสเปนในคอนเฟเดอเรชันส์ คัพ 3-0 คือสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงแรงผลักดันที่โตขึ้นของ"เซเลเซา"ในขณะเดียวกันยังทำให้อันดับฟีฟ่าพวกเขาพุ่งขึ้นมากมายอีกด้วย

ชิลี

ผ่านเข้ารอบมายังไง : อันดับ 3 โซนอเมริกาใต้

ผู้จัดการทีม : ฮอร์เก้ ซามเปาลี

ฟีฟ่า แรงค์กิ้ง : อันดับ 15

สถิติฟุตบอลโลก : อันดับ 3(ปี 1962)

นักเตะคีย์แมน : อเล็กซิส ซานเชซ

ชิลีจะได้ไปเล่นฟุตบอลโลกเป็นหนที่ 9 ในประวัติศาตร์พวกเขาด้วยการเอาชนะเอกวาดอร์ในเกมนัดสุดท้าย ส่วนอเล็กซิส ซานเชซจากบาร์เซโลน่ายังทำผลงานได้น่าประทับใจโดยยิงได้ 4 ประตูจาก 4 นัดและเขาก็เป็นหนึ่งในแข้งพรสวรรค์ที่ทีมของฮอร์เก้ ซามเปาลีมี

พวกเขาถือเป็นอีกทีมนึงที่ดูมีบาลานซ์ดี ในแต่ละส่วนของทีมมีคุณภาพกันหมดโดยเฉพาะกองกลางที่มีทั้งอาร์ตูโร่ วิดัลและเฟลิเป้ กูเตียร์เรซเพลย์เมกเกอร์ของทเวนเต้เป็นตัวพิสูจน์ให้เห็นว่ายังมีนักเตะที่ต้องคอยระวังมากกว่าซานเชซ พวกเขาเข้ารอบไปโดยที่ 6 นัดสุดท้ายไม่แพ้ใครเลยในรอบแบ่งกลุ่มและอาจแอบสร้างเซอร์ไพรส์เล็กน้อยที่บราซิลก็เป็นได้

โคลอมเบีย

ผ่านเข้ารอบมายังไง : อันดับ 2 โซนอเมริกาใต้

ผู้จัดการทีม : โฮเซ่ เปเกอร์มัน

ฟีฟ่า แรงค์กิ้ง : อันดับ 4

สถิติฟุตบอลโลก : รอบ 16 ทีมสุดท้าย(ปี 1990)

นักเตะคีย์แมน : ราดาเมล ฟัลเกา

โคลอมเบียทะลุเข้าสู่ฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายด้วยการเป็นอันดับ 2 ต่อจากอาร์เจนติน่าในโซนอเมริกาใต้และทีมของโฮเซ่ เปเกอร์มันเองก็ตื่นเต้นไม่น้อยที่จะได้เล่นฟุตบอลโลกที่จัดในทวีปของพวกเขาเอง

ปัจจุบันพวกเขาติดชาติท็อปเท็นของโลกมีนักเตะน่าสนใจเช่นฮวน เฟร์นานโด ควินเตโร่และแจ๊คสัน มาร์ติเนซที่เป็นตัวเลือกในแดนหน้าโดยมีตัวหลักที่แทบจะยึดตำแหน่งแบบไร้ข้อกังขาอย่างราดาเมล ฟัลเกาอยู่อีกคนหลังเขายิงมาเกินกว่า 30 ลูกใน 4 ฤดูกาลหลังที่ผ่านมาและนั่นอาจช่วยให้พวกเขาไปได้ลึกกว่าที่คาดไว้ก็เป็นได้ 

ยังไงก็ตามแฟนโคลอมเบียอาจจะเป็นห่วงหน่อยเพราะหนสุดท้ายที่พวกเขาเข้ารอบฟุตบอลโลกด้วยความหวังกลับจบลงที่ความโศกเศร้าเนื่องด้วยทีมในปี 1994 เดินทางกลับมาจากอเมริกาพร้อมกับผลงานไม่น่าประทับใจและเชื่อกันว่าผลที่ตามมาคือโศกนาฏกรรมของอันเดรียส เอสโคบาร์กัปตันทีมที่ถูกฆาตกรรมนั่นเอง

เอกวาดอร์

ผ่านเข้ารอบมาได้ยังไง : อันดับ 4 โซนอเมริกาใต้

ผู้จัดการทีม : เรนาลโด้ รูเอด้า

ฟีฟ่า แรงค์กิ้ง : อันดับ 23

สถิติฟุตบอลโลก : รอบ 16 ทีมสุดท้าย(ปี 2006)

นักเตะคีย์แมน : อันโตนิโอ วาเลนเซีย

เอกวาดอร์ผ่านเข้ารอบมาในแบบที่เรียกว่าฉิวเฉียดจริงๆหลังเฉือนอุรุกวัยเพียงแค่ประตูได้เสียยึดอันดับที่ 4 ในการผ่านเข้ารอบแบบอัตโนมัติมาได้ งานนี้พวกเขาต้องขอบคุณกับแนวรับที่ทำเสียประตูเพียงแค่ 16 ลูกในรอบคัดเลือกเท่านั้นเป็นรองเพียงแค่อาร์เจนติน่าและโคลอมเบีย

ถึงแม้เอกวาดอร์จะพลาดการมาลุยฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายจนถึงปี 2002 แต่นี่จะกลายเป็นการร่วมแจมหนที่ 3 จาก 4 ทัวร์นาเมนต์หลังสุดของพวกเขาโดยจะมีอันโตนิโอ วาเลนเซียปีกเท้าเดียวของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเป็นกัปตันนำทีมแถมนักเตะในทีมเองก็พอมีดีเช่นกัน

นอกเหนือจากนี้แล้วยังเป็นการลุยฟุตบอลโลกที่เต็มไปด้วยอารมณ์เหมือนกันหลังเรนาลโด้ รูเอด้ายกให้การผ่านเข้ารอบของพวกเขาเป็นการเกียรติแก่คริสเตียน เบนิเตซหรือที่รู้จักในนามชูโช่อดีตหัวหอกของเบอร์มิ่งแฮมที่เสียชีวิตไปเมื่อเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมา

อุรุกวัย

ผ่านเข้ารอบได้ยังไง : ชนะในเพลย์ออฟ

ผู้จัดการทีม : ออสการ์ ตาบาเรซ

ฟีฟ่า แรงค์กิ้ง : อันดับ 6

สถิติฟุตบอลโลก : แชมป์ 2 สมัย(ปี 1930, 1950)

นักเตะคีย์แมน : หลุยส์ ซัวเรซ

ภายหลังจากคว้าอันดับ 4 ในฟุตบอลโลกปี 2010 และคว้าแชมป์โคปา อเมริกาในปี 2011 หลายคนอาจคิดว่าการผ่านเข้ารอบสำหรับอุรุกวัยคงได้ข้อสรุปแน่แล้ว อย่างไรก็ตามหลังผลงานที่ขึ้นๆลงๆรวมถึงเสมอคาบ้านในการเจอกับเวเนซูเอล่า เอกวาดอร์และฟารากวัย แถมแพ้ให้กับโคลอมเบีย, อาร์เจนติน่าและโบลิเวียในการไปเยือนทำให้กลายเป็นเรื่องคาดเดาอะไรไม่ได้แทน

สุดท้ายพวกเขาผ่านเพลย์ออฟไปแบบไม่ยากเย็น ทีมของออสการ์ ตาบาเรซก็หวังว่าจะลืมผลงานเหล่านั้นทิ้งไปและโฟกัสไปที่ความแข็งแกร่งของทีมแทนซึ่งในแดนหน้ามีทั้งหลุยส์ ซัวเรซและเอดินสัน คาวานี่ ขณะที่ดิเอโก้ ฟอร์ลันยังเป็นหอกมาประสบการณ์ไว้ใจได้ ส่วนกองกลางพวกเขามีคริสเตียน โรดริเกซของแอตฯ มาดริดช่วงเพิ่มความดุในเกมรุกและแนวรับก็ได้ดิเอโก้ ลูกาโน่ที่น่าจะยังเป็นหัวใจหลักให้กับทีมได้เหมือนเดิม

ตาบาเรซเองก็คงรู้สีกดีที่ยังได้ทำหน้าที่คุมทีมต่อไปในปีหน้าหลังหลายคนแนะเมื่อไม่กี่เดือนก่อนว่าพวกเขาต้องใช้ปาฏิหารย์ในการได้ตำแหน่งเพลย์ออฟ ตอนนี้พวกเขาก็ยังเป็นผู้ท้าชิงแชมป์อันดับรองๆลงมาได้อยู่

เอเชีย

ออสเตรเลีย

ผ่านเข้ารอบมายังไง : รองแชมป์รอบคัดเลือก

ผู้จัดการทีม : อันเก ปอสเตโคกลู

ฟีฟ่า แรงค์กิ้ง : อันดับ 59

สถิติฟุตบอลโลก : รอบ 16 ทีมสุดท้าย(ปี 2006)

นักเตะคีย์แมน : ทิม เคฮิลล์

ออสเตรเลียจะปรากฏตัวในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายเป็นหนที่ 3 ติดต่อกันแต่เส้นทางสู่รอบบราซิลปี 2014 ไม่ได้ง่ายเหมือนที่ผ่านมาแล้วเพราะพวกเขาจบอันดับตามหลังญี่ปุ่นในโซนเอเชียหลังย้ายมาคัดกับโซนนี้ในช่วงหลัง แล้วผลงานพวกเขายังเคยพ่ายจอร์แดนมาแล้วเช่นเดียวกับรอบก่อนหน้าที่พ่ายโอมานมาเช่นกัน

ชัยชนะเหนืออิรัก 1-0 ที่ซิดนี่ย์ก็ทำให้พวกเขาได้ผ่านเข้ารอบเสียทีและในซัมเมอร์หน้าก็คงจะเป็นหนสุดท้ายของเหล่าแข้งประสบการณ์ภายในทีมกันแล้วโดยเป้าหมายของพวกเขาคือก้าวผ่านผลงานรอบ 16 ทีมสุดท้ายในปี 2006 ที่เยอรมนีไปให้ได้ อย่างไรก็ตามแค่ผ่านรอบแบ่งกลุ่มได้ตอนนี้พวกเขาก็ถือว่าน่าประทับใจแล้วสำหรับอักเน ปอสเตโคกลูและลูกทีม

อิหร่าน

ผ่านเข้ารอบมายังไง : แชมป์กลุ่มโซนเอเชีย

ผู้จัดการทีม : คาร์ลอส คีรอซ

ฟีฟ่า แรงค์กิ้ง : อันดับ 45

สถิติฟุตบอลโลก : รอบแบ่งกลุ่ม

นักเตะคีย์แมน : จาวัด เนคูนัม

อดีตกุนซือของโปรคตุเกส, เรอัล มาดริดและอดีตมือขวาที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดคนนี้นำพาอิหร่านเข้าสู่ฟุึตบอลโลก 2014 หลังคว้าแชมป์กลุ่มเอได้สำเร็จ อิหร่านผ่านความพ่ายแพ้ต่ออิหร่านและอุซเบกิสถานมาในรอบแบ่งกลุ่มแต่ก็ยังจบเป็นจ่าฝูงได้ด้วยชัยชนะเหนือเกาหลีใต้ 1-0 การันตีการเข้ารอบ

ก่อนหน้านี้อิหร่านเคยมีประสบการณ์เข้าถึงรอบสุดท้ายในปี 1978, 1998 และปี 2006 ซึ่งหมดจบลงเพียงแค่รอบแบ่งกลุ่มแต่ในปี 1998 พวกเขาก็ฝากผลงานดังไว้นั่นคือการปราบอเมริกา ชัยชนะนั้นกลายเป็นชัยชนะเดียวของพวกเขาในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายและคีรอซก็รู้ว่าไม่ว่าอะไรก็ตามที่มากกว่านั้นก็ถือว่าเป็นความสำเร็จที่ยอดเยี่ยมแล้ว ยังไงก็ตามพวกเขาถือเป็นหนึ่งในทีมเก่งในโซนเอเชีย

ญี่ปุ่น

ผ่านเข้ารอบมายังไง : แชมป์กลุ่มโซนเอเชีย

ผู้จัดการทีม : อัลแบร์โต้ ซัคเครโรนี่

ฟีฟ่า แรงค์กิ้ง : อันดับ 48

สถิติฟุตบอลโลก : รอบ 16 ทีมสุดท้าย(ปี 2002, 2010)

นักเตะคีย์แมน : ชินจิ คากาวะ

ญี่ปุ่นกลายเป็นทีมแรกที่ตีตั๋วไปฟุตบอลโลก 2014 รอบสุดท้ายก่อนใครเพื่อนหลังคว้าแชมป์กลุ่มบีในโซนเอเชียด้วยผลงานชนะ 5 เสมอ 2 และแพ้อีก 1 นัดพร้อมกับยิงได้ 16 ประตูเสียไปอีก 8 ลูก

ผลเสมอกับออสเตรเลียที่ไซตามะ 1-1 คือนัดที่ทำให้พวกเขาผ่านเข้ารอบโดยเป็นเคสุเกะ ฮอนดะยิงจุดโทษในช่วงทดเจ็บจนได้ไปอาบแดดถึงแดนกาแฟจนได้ "ปลาดิบ"ถูกคนส่วนมากยกให้เป็นทีมที่ดีที่สุดในเอเชียไปแล้วเมื่อได้มาลุยฟุตบอลโลกทุกหนนับตั้งแต่ปี 1998 และพวกเขาก็มาพร้อมกับความคาดหวังสูงไม่น้อย

อัลแบร์โต้ ซัคเครโรนี่นั้นพาทีมของเขาคว้าแชมป์เอเซียน คัพและอีสต์ เอเซียน คัพปี 2013 ด้วยแต่จากความพ่ายแพ้ 3 เกมรวดในศึกคอนเฟเดอเรชันส์ คัพเมื่อซัมเมอร์ทีผ่่านมาเป็นสัญญาณบอกว่าพวกเขายังมีอะไรให้ต้องปรับกันอีกเยอะ
ที่มา : http://www.soccersuck.com/boards/topic/956024

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Blogger templates