พักหลังๆหลายคนอาจจะสงสัย ว่าเพราะเหตุใดอดีตกัปตันทีมระดับตำนานของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จึงออกมาให้สัมภาษณ์พูดถึงเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันในทางที่ไม่ดีอยู่บ่อยๆ โดยหนังสืออัตชีวประวัติของจอมคนชาวสก็อตในบทที่ 9 ได้อธิบายทุกๆอย่างถึงความสัมพันธ์ที่ร้าวฉานครั้งนี้

ผมขออนุญาตแปลรายละเอียดให้เพื่อนๆสมาชิก Soccersuck ได้อ่านกัน ต้องขออภัยมาล่วงหน้า สำหรับรายละเอียดบางจุด ซึ่ง "ป๋า" ใช้คำศัพท์หรือสำนวนที่ยาก แต่จะพยายามแปลให้ได้ออกมาดีที่สุด
บทที่ 9 : Keane
รอย คีน เป็นนักเตะเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงาน, ความกล้าหาญและความเลือดเดือด เขาเป็นคนที่มีมีสัญชาตญาณอันยอดเยี่ยมในเกมการแข่งขันและการวางแผน
เขาคือนักเตะที่มีอิทธิพลมากที่สุดในห้องแต่งตัวในช่วงที่เราทำงานร่วมกัน รอยแบกรับความรับผิดชอบแทนผมมากมายในการทำให้แน่ใจว่าทีมลงเล่นด้วยระดับแรงบันดาลใจที่สูงที่สุด ผู้จัดการทีมไม่ปฏิเสธหรอกที่จะได้รับความช่วยเหลือแบบนั้นจากนักเตะ
แต่ในช่วงที่เขาย้ายออกจากยูไนเต็ด เมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 2005 ความสัมพันธ์ของสองเราแตกสลายลง ผมมีความคิดเห็นของตัวเองในเรื่องลำดับเหตุการณ์ต่างๆ ที่ทำให้เขาต้องย้ายไปอยู่กับเซลติก แต่ก่อนอื่น ผมขออธิบายให้พวกคุณฟังว่าทำไมเขาถึงได้กลายเป็นแรงผลักดันขนาดมหึมาสำหรับสโมสรของเรา
หากรอย คีนคิดว่าคุณไม่ได้พยายามทำผลงานอย่างเต็มที่ เขาจะกระโดดเข้ามาเผชิญหน้ากับคุณ นักเตะหลายต่อหลายคนเจอกับความกริ้วแบบนั้นกับเขา และมันไม่มีที่ใดๆที่คุณจะสามารถหลบซ่อนจากเขาได้ ผมไม่เคยคิดว่านั่นคือแคแร็กเตอร์ที่ไม่ดีในมุมของตัวเขา ตลอดเวลาการคุมทีมของผม นักเตะที่มีลักษณะนิสัยชัดเจนแข็งแกร่ง ได้ช่วยหล่อหลอมทีมขึ้นมา ทั้งไบรอัน ร็อบสัน, สตีฟ บรูซ, เอริค คันโตน่า...นักเตะที่บังคับใช้ประสงค์ของผู้จัดการทีมและตัวสโมสร

ในช่วงที่ผมค้าแข้ง ผู้จัดการทีมไม่ค่อยที่จะลงมาเฉ่งนักเตะในช่วงบอลจบอารมณ์ไม่จบหลังเกมสักเท่าไหร่ การโทษหาแพะส่วนใหญ่มาจากตัวนักเตะในทีมเอง ยามที่เราอาบน้ำแต่งตัวกัน การเผชิญหน้าจะออกแนวกล่าวโทษ บอกว่า มึงพลาดจังหวะนั้น, มึงทำแบบนี้...
ในตอนเป็นนักเตะ ผมมักจะกล่าวโทษผู้รักษาประตูและกองหลังอยู่บ่อยๆสำหรับการทำเสียประตู ซึ่งผมก็รู้ว่าหากผมพลาดโอกาสการทำประตู ผมก็จะโดนคนเหล่านั้นที่ผมเคยด่าเล่นงานกลับ นั่นแหละคือความเสี่ยงของการเป็นคนฝีปากกล้า ในยุคปัจจุบันนี้ ผู้จัดการทีมมักจะพูดในสิ่งที่คิดหลังจบเกมเสมอ หากพวกเขาต้องการวิเคราะห์, วิจารณ์หรือสรรเสริญ มันก็มีพื้นที่สำหรับความเกี่ยวข้องของฝ่ายบริหารให้ทำหลังสิ้นเสียงนกหวีด โดยเราสามารถนำอิทธิพลมาใช้ได้ในช่วงเวลาสัก 10 หรือ 15 นาที
กับรอย คีน มีหลายเหตุการณ์ในเรื่องความโต้แย้งที่ยิ่งใหญ่ และเรื่องดราม่าต่างๆ โดยเขาพยายามจะแสดงออกซึ่งความมุ่งมั่นของเขาเข้าสู่ทีม มีเหตุการณ์หนึ่งตอนที่ผมเดินเข้ามาในห้องแต่งตัว รอย และรุด ฟาน นิสเตอรอยกำลังเถียงกัน พวกเขาเอาเป็นเอาตายมาก พวกเขาถูกนักเตะคนอื่นๆดึงตัวออกมา อย่างน้อยรุด ฟาน นิสเตอรอยก็มีความกล้าหาญที่จะยืนหยัดลุกขึ้นสู้กับรอย เพราะว่าไม่ใช่ทุกๆคนที่กล้าทำแบบนั้น เขาเป็นบุคคลที่ทำให้คนอื่นเกรงกลัว, เป็นคนที่ดุร้าย วิถีของเขายามที่เขาโกรธคือการโจมตีผู้อื่น เขาจะทำให้อีกฝ่ายต้องล้มไปกอง
ผมเชื่อในสิ่งที่ตัวเองคิดไว้เรื่องหนึ่ง และคาร์ลอส กีรอซเองก็อยู่ข้างผมในเรื่องนี้ เราคิดว่าพฤติกรรมของรอย คีนได้เปลี่ยนแปลงไปเมื่อเขาตระหนักได้ว่าเขาไม่ใช่นักเตะแบบเก่าที่เคยเป็น พวกเรามั่นใจในเรื่องนี้ เขากระทำการโดยความแข็งแกร่งบางส่วนของเขาถูกพรากไปเพราะอาการบาดเจ็บและอายุที่มากขึ้น พวกเราพยายามเปลี่ยนแปลงบทบาทหน้าที่ในสนามของเขา เพื่อประโยชน์ของตัวเขาเองและทีมของพวกเรา
พวกเราพยายามเปลี่ยนแปลงหน้าที่ของเขา โดยการเฝ้าบอกกับเขาไม่ต้องเข้าปะทะทุกจังหวะในสนาม หรือการเติมเกมขึ้นหน้า ทุกๆครั้งที่เพื่อนร่วมทีมได้บอล รอยจะตะโกนร้องเรียกให้ผ่านบอลให้เขา นั่นเป็นคุณภาพที่น่าชื่นชม หลักปฏิบัติของยูไนเต็ด คือเมื่อนักเตะคนหนึ่งได้บอล พวกเราทุกคนจะต้องเคลื่อนไหวและสนับสนุนการเล่นของเขา รอย อยู่ในวัยที่เขาไม่ควรทำแบบนั้น แต่เขาไม่สามารถยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นใหม่ข้อนี้ได้

ผมคิดว่าเขามองเห็นความจริงในสิ่งที่พวกเราบอกกับเขา แต่การยอมแพ้ให้กับสิ่งดังกล่าว เป็นเรื่องที่เขายอมไม่ได้เพราะศักดิ์ศรีตัวเอง เขาเป็นนักเตะที่ได้รับการหล่อหลอมมาจากแพสชั่นของตัวเขาเอง ในฤดูกาลก่อนที่เราสองคนจะแตกคอกัน เขาเริ่มแสดงถึงสัญลักษณ์ด้านร่างกายที่อ่อนแอลงโดยไม่สามารถกลับมาทำหน้าที่บทบาทการเล่นเกมรับได้ เขาไม่ใช่นักเตะคนเดิม...แต่คุณจะเป็นแบบเดิมได้ไงล่ะ เมื่อคุณเข้ารับการผ่าตัดสะโพก และหัวเข่า พร้อมกันนั้นยังเป็นแนวหน้าในสงครามที่โหดร้ายป่าเถื่อนมาอย่างยาวนาน?
พลังงานที่รอยแสดงออกในเกมการเล่นเป็นอะไรที่พิเศษมากๆ แต่เมื่อคุณเข้าถึงช่วงอายุ 30 ปี มันยากที่จะเข้าใจว่าอะไรที่ผิดแปลกไป คุณไม่สามารถเปลี่ยนแปลงธรรมชาติที่ผลักดันให้คุณพบกับความสำเร็จมากมาย มันชัดเจนแจ่มแจ้งว่าเราไม่ได้กำลังรับมือกับรอย คีนคนเดิม
การแก้ปัญหาของพวกเราคือการบอกกับเขาให้อยู่ในพื้นที่บริเวณกองกลาง เขาสามารถควบคุมเกมได้จากจุดนั้น ลึกๆแล้วผมเชื่อมั่นว่าตัวเขาเองเข้าใจเรื่องดังกล่าวดีกว่าทุกๆคน แต่เขาไม่สามารถทำให้ตัวเองเลิกเล่นในสไตล์แบบฉบับเดิมได้
นั่นคือท้องเรื่องหลักระยะยาวที่นำไปสู่การเผชิญหน้า และทำให้เขาต้องย้ายออกจากสโมสรไปอยู่กับเซลติก เขาคิดว่าเขาคือปีเตอร์ แพน ไม่มีใครเป็นแบบนั้น ไรอัน กิ๊กส์ คือนักเตะที่ใกล้เคียงที่สุดกับตำนานความเป็นอมตะแบบนั้น แต่ไรอัน ไม่เคยประสบปัญหาอาการบาดเจ็บที่รุนแรง รอยเจอกับสิ่งนั้น ปัญหาอาการบาดเจ็บบริเวณสะโพกของเขานำมาซึ่งความเสื่อมสภาพและความปรอบบางของร่างกายเขา

รอยแตกรอยแรกสำหรับความสัมพันธ์ของเราสองคนเกิดขึ้นในช่วงปรีซีซั่น ก่อนฤดูกาล 2005-06 จะเริ่มขึ้น ในทริปการเก็บตัวฝึกซ้อมที่โปรตุเกสของเรา คาร์ลอส กีรอซเดินทางออกไป ตระเตรียมจัดการทุกสิ่งทุกอย่างเพราะมันคือไอเดียของเขา และเขาก็ได้พาพวกเราไปยังหนึ่งในสถานฝึกซ้อมที่มหัศจรรย์ที่สุดชื่อว่า "วาเล่ โด โลโบ้" สถานที่นั้นเหมือนไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้ ทั้งสนามฝึกซ้อม, โรงยิมและบ้านพักเล็กๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่สมบูรณ์แบบสำหรับนักเตะทุกๆคน
ผมเดินทางไปถึงที่นั่นในวันสุดท้ายของวันหยุดพักร้อนของผมจากประเทศฝรั่งเศส ทีมงานและนักเตะทุกๆคน ต่างพักผ่อนในวิลล่าของพวกเขาอย่างดีเยี่ยม แต่ข่าวร้ายเฝ้ารอผมอยู่ คาร์ลอสต้องเจอฝันร้ายในการรับมือกับรอย
ผมถามพวกเขาว่ามีปัญหาอะไรกัน คาร์ลอสอธิบายบอกว่ารอยพิจารณาว่าบ้านพักในวาเล่ โด โลโบ้นั้นต่ำกว่ามาตรฐาน และเขาจะไม่ยอมอยู่ในบ้านพักหลังนั้น จากคำกล่าวของคาร์ลอส รอยปฏิเสธบ้านหลังแรกเพราะมีห้องหนึ่งห้องที่ไม่ได้ติดแอร์ บ้านหลังที่สองเจอปัญหาเดียวกัน ส่วนหลังที่สาม ซึ่งผมเห็นด้วยตาตัวเองและมองว่ามันเป็นบ้านที่มหัศจรรย์เพียบพร้อม แต่รอยก็ไม่รับเอาไว้ เขาต้องการที่จะไปอาศัยอยู่ในหมู่บ้านถัดไป ชื่อว่าควินต้า โด ลาโก้ กับครอบครัวของเขา
ในค่ำคืนแรกนั้น พวกเราจัดปาร์ตี้บาร์บีคิวกันในลานโล่งของโรงแรม มันถูกทำขึ้นอย่างสวยงาม รอยเข้ามาหาผมและบอกกับผมว่าเขาต้องคุยกับผม
"ไม่เอาน่ารอย ไม่ใช่ตอนนี้ พรุ่งนี้เช้าค่อยคุยกัน" ผมบอกกับเขา
หลังเสร็จสิ้นการฝึกซ้อม ผมดึงตัวเขามา และถามเขาว่า "เกิดอะไรขึ้นล่ะ รอย ฉันเห็นบ้านพักแกแล้ว และมันก็โอเคดี"
รอยปะทุขึ้นมาทันที เขาเริ่มบ่นถึงปัญหายาวเป็นหางว่าว ซึ่งรวมทั้งเรื่องแอร์ด้วย จากนั้นเขาเริ่มพูดถึงคาร์ลอส เขาถามว่าทำไมต้องมาเก็บตัวกันที่นี่? เขาร่ายยาวไปเรื่อยๆ ทุกๆอย่างที่เขาพูดคือคำติเตียนทั้งหมด สิ่งดังกล่าวก่อให้เกิดร่องรอยตึงเครียดในความสัมพันธ์ของเขากับพวกเรา ผมผิดหวังนะ คาร์ลอสทำงานอย่างหนักในการพยายามทำให้ทริปดังกล่าวเป็นทริปที่น่าจดจำสำหรับทุกๆคน
เมื่อทริปดังกล่าวจบลง ผมพยายามแก้ปัญหาโดยเรียกรอยมาที่ออฟฟิศ และอย่างน้อยพยายามให้เขาขอโทษต่อคาร์ลอส แต่เขาไม่เอาด้วย
เมื่อเราไม่ลงรอยและเถียงกันครั้งหนึ่ง รอยพูดกับผมว่า "คุณเปลี่ยนไป"
ผมตอบกลับเขาไปว่า "รอย ฉันต้องเปลี่ยนแปลง วันนี้ไม่ใช่เมื่อวานนี้ โลกที่เราอยู่ทุกวันนี้มันแตกต่างไปแล้ว เรามีนักเตะที่มาจาก 20 ประเทศที่แตกต่างภายในทีม แกบอกว่าฉันเปลี่ยนไปเหรอ? ฉันหวังว่าฉันจะเปลี่ยนไปนะ ฉันคงอยู่รอดมาไม่ได้ถ้าฉันไม่เปลี่ยนแปลง"
เขาตอบกลับมาว่า "คุณไม่ใช่ผู้ชายคนเดิม"
พวกเรามีการโต้เถียงกัน ผมบอกกับเขาว่าเขาพูดเกินไป "นายมันกัปตันทีม นายไม่ได้แสดงความรับผิดชอบอะไรต่อนักเตะคนอื่นๆเลย มันไม่ใช่ว่าเราขอให้นายไปอยู่ในกระตูบเล็กๆ บ้านพักนั้นยอดเยี่ยม มันเป็นสถานที่ที่ดี"
ความรู้สึกแย่ๆที่เกิดขึ้นไม่ได้จางหายไป ความเสื่อมถอยของความสัมพันธ์ของพวกเราเริ่มจากเรื่องนี้จริงๆ จากนั้นเป็นเหตุการณ์การให้สัมภาษณ์กับ MUTV ซึ่งรอยไล่จวกนักเตะดาวรุ่งของทีมเราในเรื่องความล้มเหลวของการทำหน้าที่
ทีมของเรามีการสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันในการให้สัมภาษณ์ ซึ่งในครั้งนั้นเป็นหน้าที่ของแกรี่ เนวิลล์ ในวันจันทร์หลังจากเราแข่งขันกับมิดเดิ้ลสโบรห์ ผมไม่ค่อยได้สนใจนัก เมื่อเจ้าหน้าที่สื่อแจ้งผมว่ารอย จะเข้ามาจัดการแทนแกรี่ ผมไม่ได้คิดว่ามันเป็นเรื่องที่สำคัญอะไรมากนัก
แต่มันกระจ่างชัดเลยว่า รอยไล่สวดนักเตะคนอื่นๆเกี่ยวกับเกมการเล่นในวันเสาร์ ตัดมาตอน 4 โมงเย็น ผมได้รับโทรศัพท์ที่บ้าน ปลายสายพูดว่า "ป๋าต้องมาดูนี่"...
โปรดติดตามบทความต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น