จะแปลกก็ตรงที่ ทีมแชมป์มีทีมเดียว นั่นคือ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่กวาดเรียบแชมป์ทีมเดียวแบบไม่อายฟ้าดินไปทั้ง แชมป์โตโยต้าไทยพรีเมียร์ลีก,แชมป์มูลนิธิไทยคมเอฟเอ คัพ,และแชมป์โตโยต้าลีกคัพ
แม้จะเป็นที่น่าหมั่นไส้ของทีมอื่นอยู่ไม่ใช่น้อย ก็เพราะประสบความสำเร็จเป็นทีมที่คว้าทุกถ้วยในประเทศภายในฤดูกาลเดียว ในลีกไม่แพ้ใครแถมชนะทุกทีมอีก โอย..เยอะ
เอาเป็นว่าใครนึกอะไรได้ก็บอกมาล่ะกันครับ
ความสำเร็จของบุรีรัมย์พิสูจน์คุณภาพของทีมว่าสูงลิ่ว แต่มันก็ไม่ใช่ว่าทีมอื่นไม่สามารถล้มหรือพัฒนาทีมตัวเองให้เท่าบุรีรัมย์ได้
ในกรณีนี้ผมให้ทุกคนจับตาดู แบ็งคอก ยูไนเต็ดให้ดี ถ้าผู้บริหารยังสนุกกับการพัฒนาวงการฟุตบอลไทยบวกกับการทำธุรกิจไปพร้อมกันด้วย
ทีมนี้จะก้าวขึ้นมาเป็นยักษ์ใหญ่ของวงการฟุบอลไทยได้ไม่ยากในอนาคต
ส่วนทีมที่ต้องตกลงไปเวียนว่ายใน ยามาฮ่าลีกวัน อย่างน้อย 1 ปี คือ พัทยายูไนเต็ด ที่มีข่าวดีว่าได้สปอนเซอร์ใจดีเข้ามาหนุนทีมให้สามารถกลับมาเกิดใหม่ให้ได้ในเร็ววัน
และแม้ฟุตบอลในลีกจะปิดตัวไปแล้ว แต่ภารกิจของกองเชียร์ทั้งประเทศยังไม่หมดเพียงเท่านี้
หากแต่จะยังมีฟุตบอลรายการหนึ่งที่จะเริ่มฟาดแข้งขึ้นตอนปลายปี ให้ได้ลุ้นกัน
สิ่งที่พิเศษของฟุตบอลรายการนี้คือเราเป็นแชมป์มาหลายสมัยติดต่อกันในอดีต
และเช่นเดียวกัน เราตกรอบแรกมาสองสมัยติด แม้จะเป็นเพียงรายการของชาติในย่านอาเซียน มีเพียง 10 ทีม เข้าร่วมเข้าขัน แถมยังเป็นการแข่งขันของแข้งหนุ่มรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี
ถ้าจะมองถึงความสำคัญของฟุตบอลรายการนี้ มันช่างเปรียบเทียบอะไรไม่ได้เลยกับฟุตบอลเอเชี่ยน คัพ,ฟุตบอลยูโร หรือแม้กระทั่ง ฟุตบอลโลก
แต่มันถือว่าเป็นศรัทธาแรกที่จะบังเกิดขึ้นกับวงการฟุตบอลไทย หากแชมป์รายการนี้ตกเป็นของนักเตะทีมชาติไทย
เหลือบตาดูรายชื่อนักเตะที่โค้ชซิโก้ “เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง” ประกาศออกมา ผมพูดแบบไม่กลัวหน้าแตกเลยครับ ว่าอย่างน้อยๆ ก็ต้องเข้าชิงชนะเลิศเป็นอย่างต่ำ เพราะนักเตะเหล่านี้ติดทีมชาติชุดใหญ่และก้าวขึ้นมาเป็นกำลังหลักของสโมสรแล้ว
ทั้งผู้รักษาประตูอย่าง กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ กองหลัง นฤบดินทร์ วีรวัฒน์โนดม,อาทิตย์ ดาวสว่าง,พีระพัฒน์ โน๊ตชัยยา, ธีราทร บุญมาทัน กองกลาง ชนาธิป สรงกระสินธุ์, ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์, ปกเกล้า อนันต์,ชาริล ชัปปุยส์ กองหน้า ศราวุฒิ มาสุข, ชนานันท์ ป้อมบุปผา,อดิศักดิ์ ไกรษร
เหล่านี้คือชื่อนักเตะที่เราคุ้นชื่อพวกเค้าเหล่านี้เป็นอย่างดี
แต่... อย่าเพิ่งคิดว่าลีกบ้านเราแข็งแกร่ง จนนักเตะเราต้องเก่งกาจประดุจจุติลงมาจากสวรรค์ชั้นเจ็ด เพราะอดีตที่ผ่านมามันได้พิสูจน์แล้วว่า เราไม่เคยดูคนอื่น เรามองแต่ตัวเอง
เราไม่มีการเตรียมตัวที่ดีพอ บริหารงานแย่ ไม่มีคิวอุ่นเครื่อง
แล้วคำตอบของการไม่ดูคนอื่นว่าไปถึงไหนแล้วมันก็คือ ตกรอบ ล้มเหลว และโดนด่า
อย่างที่บอก ว่าฟุตบอลรายการนี้อาจจะไม่ใช่การแข่งขันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ไม่มีคะแนนสะสมในฟีฟ่าแรงค์กิ้ง แต่ “มันคือแรงความเชื่อที่ถูกหลอมรวมกลับมาเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่อีกครั้ง”
เพราะนี่คือ “ซีเกมส์”
ที่มา : http://www.soccersuck.com/boards/topic/950096
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น