วันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เจาะจุดอ่อน 9 ทีม หัวตาราง พรีเมียร์


เจาะจุดอ่อน 9 ทีมนำหัวตารางพรีเมียร์ลีก 

ผ่านไปแล้วกว่าหนึ่งในสามของศึกพรีเมียร์ลีก หลายๆ ทีมเริ่มกลับมาเค้นฟอร์มเก่งได้อีกครั้ง แต่ทีมเหล่านั้นต่างก็ยังมีจุดอ่อนให้มองเห็น โกล ประเทศไทย ขอวิเคราะห์ภาพให้เห็นแบบชัดเจน 

ศึกลูกหนังที่มีความสนุกและความท้าทายที่สุดในโลกอย่างพรีเมียร์ลีก ผ่านไปแล้ว 12 เกม รูปร่างหน้าตาของตารางคะแนนก็เริ่มชัดขึ้นโดยเฉพาะทีมใหญ่ที่เกาะกลุ่มกันอยู่ในหัวตาราง แต่หลายๆ ทีมก็ยังมีการบ้านให้ต้องแก้อีกเยอะ 

แม้บางทีมจะทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในปีนี้ แต่พวกเขาต่างก็มีจุดอ่อนที่เริ่มโผล่ออกมาให้คู่ต่อสู้เห็นและใช้พื้นที่เหล่านั้นในการโจมตีทีมแกร่ง จนแทบไม่มีทีมไหนเลยที่สามารถเก็บชัยชนะได้แบบติดต่อกันเกินสามนัด ว่าแล้วก็ไปเริ่มกันเลยดีกว่า 

1. อาร์เซนอล (ศูนย์หน้าตัวสำรอง) 



ทีมหัวตารางของศึกพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้อย่างไอ้ปืนใหญ่ออกตัวได้อย่างน่ากลัวนับตั้งแต่ได้ตัวเมซุต โอซิล มาร่วมทีม แม้พวกเขาจะแพ้ต่อแอสตัน วิลลามาในเกมแรกด้วยสกอร์ 1-3 

พวกเขานำเป็นจ่าฝูงอยู่ในตอนนี้ ทว่าก็ยังมีแผลใหญ่ที่กลบไว้ไม่มิดซึ่งนั่นก็คือการที่ทีมมีหัวหอกมืออาชีพเพียงรายเดียวเท่านั้นที่พึ่งพาได้ คือ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ที่ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงทุกนัด และถูกเปลี่ยนออกมาพักเพียงแค่สี่เกมเท่านั้น แถมยังเป็นเฉพาะ 15 นาทีสุดท้ายอีกด้วย

หากมองไปถึงตัวสำรองก็แทบไม่มีหัวหอกคนไหนที่จะยืนเป็นหลักแทนดาวยิงชาวเฟรนช์ได้เลยสักคน โดยเฉพาะ นิคลาส เบนท์เนอร์ ที่ ส่วนรายอื่นก็ยังมีอาการบาดเจ็บทั้งยาย่า ซาโนโก้,ธีโอ วัลคอตต์และลูคัส โพโดลสกี้ 

และหากอาร์เซน เวนเกอร์ยังไม่มีความคิดที่จะหาศูนย์หน้าคนใหม่มาแบ่งเบาชิรูด์ เจ้าตัวอาจจะต้องลงเล่นเป็นตัวจริงทั้ง 38 นัดก็เป็นได้ และหากวันใดวันหนึ่งเจ้าตัวมีอาการบาดเจ็บหรือเหนื่อยล้าอย่างเช่นที่เห็นในเกมกับแมนฯยูไนเต็ด ทีมปืนใหญ่อาจจะลำบากก็เป็นได้ 

2. ลิเวอร์พูล (ฟอร์มครึ่งหลังและการเฉลี่ยกันทำประตู) 



ทีมยักษ์หลับจากลุ่มน้ำเมอร์ซีย์ถือว่าโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมในซีซั่นนี้ โดยเฉพาะนับตั้งแต่หลุยส์ ซัวเรซพ้นโทษแบนกลับมาจับคู่กับดาเนียล สเตอร์์ริดจ์ทำประตูจนรั้งอยู่ในหัวตารางของดาวซัลโวในศึกพรีเมียร์ลีกทั้งคู่ 

แต่ทีมหงส์แดงของเบรนแดน ร็อดเจอร์สก็มีจุดอ่อนเช่นกัน อย่างที่หนึ่งก็คือพวกเขาเป็นพวกสิงห์ครึ่งแรก เพราะหากวัดเปอร์เซ็นต์การยิงครึ่งแรกกับครึ่งหลังของพวกเขาแล้ว ครึ่งแรกนั้นทีมมีค่าสูงถึง 75 เปอร์เซ็นต์ แต่ครึ่งหลังกลับมีแค่ 25 เปอร์เซ็นต์หรือนับเป็นหนึ่งในสี่เท่านั้น 

ส่วนที่สองก็คือการที่ทีมฝากความหวังในการทำประตูไว้ที่สองดาวยิงอย่างหลุยส์ ซัวเรซและดาเนียล สเตอร์ริดจ์มากเกินไป เพราะหากดูไปที่นักเตะรายอื่นคนที่ตามมาในดาวซัลโวอันดับ 3 ก็คือสตีเวน เจอร์ราร์ด ที่ยิงประตูไปเพียง 2 ประตูเท่านั้น และที่สำคัญทั้งสองลูกยังมาจากจุดโทษอีกด้วย 

หากวันใดวันหนึ่งกองหน้า SAS โดนปิดตายหรือบอลไม่สามารถลำเลียงไปถึงได้ โอกาสที่พวกเขาจะคว้าสามคะแนนจากคู่ต่อสู้ถือว่าเป็นเรื่องยากมาก 

3. เชลซี (ดาวยิงหมายเลข 9) 



แม้การกลับมาของโชเซ มูรินโญจะทำให้ทีมดูน่ากลัวอีกครั้ง และช่วยให้ทีมกระโดดขึ้นมาเป็นเต็งหนึ่งในการคว้าแชมป์ในซีซั่นนี้ แต่ปัญหาของทัพสิงโตน้ำเงินครามก็ยังแก้ไม่หายโดยเฉพาะเรื่องหัวหอกปืนฝืด การยิงรวมกันของทั้งเฟร์นานโด ตอร์เรส, ซามูเอล เอโต้และเดมบ้า บา มีค่ารวมกันเพียงแค่ 3 ประตูเท่านั้น ซึ่งเท่ากับครึ่งหนึงที่โรเมลู ลูกากูหัวหอกที่ถูกปล่อยให้เอฟเวอร์ตันยืมไปเท่านั้น 

ดาวซัลโวของทีมสิงห์บลูส์ในปัจจุบันกลับเป็นออสการ์ที่ยิงไปแล้ว 5 ประตูตามมาด้วย เอเด็น อาซาร์ที่ยิงไป 4 ประตู และหากทีมสิงโตน้ำเงินครามต้องการกลับมาคว้าแชมป์ลีกอีกครั้ง พวกเขาจำเป็นต้องมีหัวหอกที่ทำประตูให้กับทีมได้อย่างต่อเนื่อง 

4. แมนเชสเตอร์ ซิติ้ (เกมนอกบ้านอันย่ำแย่) 



ทีมเรือใบสีฟ้าของมานูเอล เปเยกรินี ถือว่าเป็นทีมที่น่ากลัวอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในแนวรุกที่พวกเขาระเบิดสกอร์ได้มากที่สุดในลีกขณะนี้คือ 34 ประตู จาก 12 นัด โดยมีค่าเฉลี่ยสูงถึงนัดละเกือบสามประตู และเอาชนะในบ้านทุกนัด 

แต่จุดอ่อนที่ใครหลายคนก็รู้นั่นคือการเล่นนอกบ้านที่เป็นตัวที่รั้งให้พวกเขายังไปได้ไม่ไกลพอสมควรในพรีเมียร์ลีก เพราะเชื่อหรือไม่ว่า ในขณะที่พวกเขาเล่นในบ้านและถล่มทีมอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, นอริช รวมถึงรายล่าสุดอย่างท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ส จะกล้าบุกไปแพ้ทีมซันเดอร์แลนด์, แอสตัน วิลลารวมถึงทีมน้องใหม่อย่างคาร์ดิฟฟ์ ซิติ้ 

สถิติการเล่นเกมนอกบ้านของแมนซิติ้ถือว่าย่ำแย่ยิ่งนัก พวกเขาเอาชนะได้เพียงนัดเดียว (เวสต์แฮม) ส่วนที่เหลือเป็นการเสมออีก 1 และแพ้ไปถึง 4 เกม หากว่ากุนซือชาวชิลีฝันที่จะพาทีมคว้าแชมป์ตั้งแต่การแลนดิ้งในแดนผู้ดีตั้งแต่ปีแรก นี่คือปัญหาที่พวกเขาจำเป็นต้องแก้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

5. เซาแธมป์ตัน (ตัวทีเด็ด) 



มนักบุญถือว่าเป็นจอมเซอร์ไพร์สในช่วงต้นฤดูกาลนี้ หลังทีมที่อยู่กลางตารางเมื่อปีก่อนกลับออกสตาร์ทได้อย่างน่ากลัวภายใต้การนำทัพของเมาริซิโอ ปอเช็ตติโน 

จุดเด่นของทีมนักบุญแดงชนใต้ก็คือเกมรับที่เหนียวแน่น พวกเขาเป็นทีมที่เสียประตูน้อยที่สุดในลีกอังกฤษ (7 ประตู) และที่สำคัญก็คือการเล่นเป็นทีมของพวกเขาโดยเฉพาะสามสตาร์ที่เพิ่งถูกเรียกติดทีมชาติอังกฤษในเกมกระชับมิตรเกมล่าสุดอย่าง ริคกี้ แลมเบิร์ต, อดัม ลัลลานาและเจย์ โรดริเกซ 

แต่สิ่งที่ยอดทีมแห่งถิ่นเซนต์ แมรีส์ ยังขาดอยู่ในตอนนี้ก็คือการที่ทีมไม่มีตัวที่สร้างความแตกต่างหรือที่เรียกกันชัดๆว่าตัวทีเด็ดเลย เพราะดูแล้วในทีมชุดนี้ ยังไม่มีคนไหนที่ถือว่าเป็นสตาร์ประจำทีมเลย 

6. แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (ความต่อเนื่องตลอด 90 นาที) 



ทีมแชมป์เก่าที่ยังโชว์ฟอร์มได้ตะกุกตะกัก ภายใต้การนำทัพของกุนซือคนใหม่อย่างเดวิด มอยส์ ถือว่ามีหลายจุดอ่อนที่เห็นได้ชัดในหลายๆตำแหน่ง โดยเฉพาะในตำแหน่งของกองกลางและกองหลังที่มีส่วนทำให้ทีมต้องทำแต้มตกหล่นไปในหลายๆนัด 

จุดเด่นของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดชุดนี้ก็คือการเล่นโต้กลับเร็วและการมีแนวรุกที่ฝากความหวังได้อย่างโรบิน ฟาน เพอร์ซีและเวย์น รูนีย์ ซึ่งอาจจะรวมถึงเจ้าหนูอัดนาน ยานาไซด้วยก็เป็นได้ 

แต่จุดอ่อนที่ชัดเจนแบบแก้ไม่ตกของปีศาจแดงชุดนี้คือความต่อเนื่องในแต่ละเกม เห็นได้ชัดว่าพวกเขามักจะมีช่วงหนึ่งสักประมาณ 15 นาทีเป็นอย่างน้อยที่ต้องถอยร่นเป็นฝ่ายตั้งรับตลอด ซึ่งสิ่งนี้แหละคือสิ่งที่กุนซือชาวสก็อตต้องแก้ให้ได้โดยไว โดยเฉพาะในตำแหน่งห้องเครื่อง เพราะสังเกตได้เลยว่าทีมปีศาจแดงเป็นทีมใหญ่ที่มีเปอร์เซ็นต์การครองบอลต่ำสุดในตอนนี้ 

และที่สำคัญอีกอย่างในช่วงที่แมนฯยูไนเต็ดไม่ได้มีปราการหลังที่แข็งแกร่งเป็นกำแพงหินอย่าง เนมานยา วิดิช, ริโอ เฟอร์ดินานด์และเอ็ดวิน ฟาน เดอ ซาร์เหมือนในอดีต พวกเขาอาจจำเป็นต้องทำเหมือนทีมอื่นคือการพยายามเป็นฝ่ายครองบอลมากขึ้น ไม่ใช่ตั้งรับรอโต้กลับเพียงอย่างเดียวเท่านั้น 

7. เอฟเวอร์ตัน (จอมทัพหมายเลข 10) 



ทีมท็อฟฟีสีน้ำเงินของโรแบร์โต้ มาร์ติเนซไม่ได้ดูย่ำแย่ลงไปเลยแม้จะมีการเปลี่ยนหัวเรือจากเดวิด มอยส์ เมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมาก็ตาม 

การที่ทีมคว้าตัวโรเมลู ลูกากู มาจากเชลซีได้ในวินาทีสุดท้ายของตลาดซื้อขายนักเตะถือว่าเป็นการตอบโจทย์ชั้นยอดของกุนซือชาวสแปนิช หลังหัวหอกชาวเบลเยียมกดไปแล้ว 7 ประตูจาก 8 นัด ผงาดขึ้นเป็นดาวซัลโวของทีม 

แต่จุดอ่อนของพวกเขาก็คือการที่ทีมไม่มีจอมทัพตัวบงการเกม แม้รอสส์ บาร์คลีย์ดาวรุ่งของทีมจะทำผลงานได้อย่างโดดเด่นแต่หากเทียบเขากับพวกเพลย์เมกเกอร์ทีมอื่นๆ บาร์คลีย์ถือว่าเป็นนักเตะที่มีกระดูกเป็นรองอยู่ และเมื่อมองไปที่ตัวสำรองในตำแหน่งนี้พวกเขากลับไม่มีเลย 

8. นิวคาสเซิล (ตัวสต๊อปเปอร์) 



แม้ทีมสาลิกาดงจะออกสตาร์ทได้อย่างย่ำแย่ จนมีการคาดการณ์กันว่าพวกเขาอาจจะต้องดิ้นรนหนีตายกันอีกครั้งในซีซั่นนี้ แต่การที่ทีมได้ตัวนักเตะอย่างโลอิก เรมี มาร่วมทีม รวมถึงทิม ครูล ที่งัดฟอร์มหนึบขึ้นมาอีกครั้งทำให้พวกเขาขยับขึ้นมาเป็นทีมหัวตารางที่อาจมีลุ้นเล็กๆ ได้ถึงโควต้ายุโรป 

แต่สิ่งหนึ่งที่เดอะ แม็กซ์พายจำเป็นต้องแก้เป็นการด่วนนั่นก็คือเกมรับของพวกเขาโดยเฉพาะในตำแหน่งกองหลังตัวกลาง เนื่องจากว่าหากพวกเขาไม่ได้นายทวารชาวดัตช์ช่วยไว้ สภาพทีมคงเละไปกว่านี้ หลังครูลเซฟแบบจะๆ ช่วยทีมไปแล้วถึง 40 ครั้งจาก 12 แมตช์ ซึ่งถือว่ามากที่สุดในบรรดาโกลในศึกพรีเมียร์ลีกเลยทีเดียว 

9. ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ส (เครื่องจักรสังหาร) 



ทีมไก่เดือยทองของอังเดร วิลลาส โบอาส ถือว่าเป็นทีมหนึ่งที่น่าจับตามองในฤดูกาลนี้ เพราะแม้พวกเขาจะปล่อยตัวแกเร็ธ เบลสตาร์ตัวเก่งออกจากทีมไป แต่พวกเขาก็แปรเปลี่ยนเงินที่ได้มาตรงนั้นแลกกับนักเตะถึง 7 ราย ซึ่งประกอบไปด้วย เปาลินโญ, เอเตียง กาปูว, เอริค ลาเมลา, โรแบร์โต้ โซลดาโด้, วลาด ชิริเชส, นาเซอร์ ชาดลี,คริสเตียน อีริคเซน 

แต่ล่าสุดพวกเขาก็ต้องตกมารั้งอันดับ 9 ของตารางพรีเมียร์ลีก โดยจุดอ่อนที่เห็นได้อย่างชัดเจนนั่นก็คือการทำประตูของพวกเขาที่ย่ำแย่เป็นอันดับที่ 3 ในลีก หลังยิงไปเพียง 9 ประตูเท่านั้น 

หัวหอกตัวความหวังของพวกเขาอย่างโรแบร์โต้ โซลดาโด้ที่เพิ่งคว้าตัวมาจากบาเลนเซีย กลับทำผลงานได้ไม่ตามหวังหลังยิงไปเพียง 4 ประตู ซึ่งสามประตูนั้นเป็นการยิงจากลูกจุดโทษ ในขณะที่หัวหอกตัวสำรองก็ทำผลงานในลีกได้น่าผิดหวังไม่แพ้กันทั้งเจอร์เมน เดโฟที่ยิงแต่ในยูโรป้า ลีกจนเคยชิน รวมถึงเอ็มมานูเอล อเดบายอร์ที่เพิ่งกลับมาซ้อมกับทีมชุดใหญ่เมื่อเร็วๆนี้ 

การเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกของแต่ละทีมไม่ใช่สิ่งที่ได้มาง่ายๆ สิ่งสำคัญก็คือการเอาชนะคู่ต่อสู่ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการเอาชนะจุดอ่อนของตัวเองให้ได้ 

การมีจุดอ่อนของทีมถือเป็นเรื่องธรรมดา เพราะคงไม่มีสโมสรไหนบนโลกที่แข็งแกร่งแบบไร้เทียมทาน แต่เชื่อได้เลยว่าหากสโมสรเหล่านี้สามารถแก้ไข ความสำเร็จในบั้นปลายซีซั่นจะเป็นของขวัญให้แก่การทำงานหนักของพวกเขาตลอดทั้งปีแน่นอน 


สำหรับผมแฟนแมนยู คิดว่ากองหลังมีผลที่สุดนะครับ ตอนนี้ 
ส่วนอาร์เซน่อล กองกลาง มันแน่นมากต้องทำลายกองกลางก่อนครับ
ลิเวอร์พูล SAS นี่โหดจริง เล่นกันแบบไม่หวงบอล อันตรายฟุดๆ 
ที่มา :http://www.soccersuck.com/boards/topic/950602

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Blogger templates