วันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

คอลัมน์ : “นี่คือ..ซีเกมส์”

ไทยพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2013 สิ้นสุดตารางการแข่งขันไปหลายสัปดาห์แล้ว ฟุตบอลถ้วยรายการต่างๆ ก็ทยอยได้แชมป์กันไปหมด เฉกเช่นเมื่อฤดูกาลก่อน

จะแปลกก็ตรงที่ ทีมแชมป์มีทีมเดียว นั่นคือ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่กวาดเรียบแชมป์ทีมเดียวแบบไม่อายฟ้าดินไปทั้ง แชมป์โตโยต้าไทยพรีเมียร์ลีก,แชมป์มูลนิธิไทยคมเอฟเอ คัพ,และแชมป์โตโยต้าลีกคัพ

แม้จะเป็นที่น่าหมั่นไส้ของทีมอื่นอยู่ไม่ใช่น้อย ก็เพราะประสบความสำเร็จเป็นทีมที่คว้าทุกถ้วยในประเทศภายในฤดูกาลเดียว ในลีกไม่แพ้ใครแถมชนะทุกทีมอีก โอย..เยอะ 

เอาเป็นว่าใครนึกอะไรได้ก็บอกมาล่ะกันครับ

ความสำเร็จของบุรีรัมย์พิสูจน์คุณภาพของทีมว่าสูงลิ่ว แต่มันก็ไม่ใช่ว่าทีมอื่นไม่สามารถล้มหรือพัฒนาทีมตัวเองให้เท่าบุรีรัมย์ได้

ในกรณีนี้ผมให้ทุกคนจับตาดู แบ็งคอก ยูไนเต็ดให้ดี ถ้าผู้บริหารยังสนุกกับการพัฒนาวงการฟุตบอลไทยบวกกับการทำธุรกิจไปพร้อมกันด้วย

ทีมนี้จะก้าวขึ้นมาเป็นยักษ์ใหญ่ของวงการฟุบอลไทยได้ไม่ยากในอนาคต

ส่วนทีมที่ต้องตกลงไปเวียนว่ายใน ยามาฮ่าลีกวัน อย่างน้อย 1 ปี คือ พัทยายูไนเต็ด ที่มีข่าวดีว่าได้สปอนเซอร์ใจดีเข้ามาหนุนทีมให้สามารถกลับมาเกิดใหม่ให้ได้ในเร็ววัน

และแม้ฟุตบอลในลีกจะปิดตัวไปแล้ว แต่ภารกิจของกองเชียร์ทั้งประเทศยังไม่หมดเพียงเท่านี้ 

หากแต่จะยังมีฟุตบอลรายการหนึ่งที่จะเริ่มฟาดแข้งขึ้นตอนปลายปี ให้ได้ลุ้นกัน

สิ่งที่พิเศษของฟุตบอลรายการนี้คือเราเป็นแชมป์มาหลายสมัยติดต่อกันในอดีต

และเช่นเดียวกัน เราตกรอบแรกมาสองสมัยติด แม้จะเป็นเพียงรายการของชาติในย่านอาเซียน มีเพียง 10 ทีม เข้าร่วมเข้าขัน แถมยังเป็นการแข่งขันของแข้งหนุ่มรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี 

ถ้าจะมองถึงความสำคัญของฟุตบอลรายการนี้ มันช่างเปรียบเทียบอะไรไม่ได้เลยกับฟุตบอลเอเชี่ยน คัพ,ฟุตบอลยูโร หรือแม้กระทั่ง ฟุตบอลโลก

แต่มันถือว่าเป็นศรัทธาแรกที่จะบังเกิดขึ้นกับวงการฟุตบอลไทย หากแชมป์รายการนี้ตกเป็นของนักเตะทีมชาติไทย

เหลือบตาดูรายชื่อนักเตะที่โค้ชซิโก้ “เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง” ประกาศออกมา ผมพูดแบบไม่กลัวหน้าแตกเลยครับ ว่าอย่างน้อยๆ ก็ต้องเข้าชิงชนะเลิศเป็นอย่างต่ำ เพราะนักเตะเหล่านี้ติดทีมชาติชุดใหญ่และก้าวขึ้นมาเป็นกำลังหลักของสโมสรแล้ว 

ทั้งผู้รักษาประตูอย่าง กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ กองหลัง นฤบดินทร์ วีรวัฒน์โนดม,อาทิตย์ ดาวสว่าง,พีระพัฒน์ โน๊ตชัยยา, ธีราทร บุญมาทัน กองกลาง ชนาธิป สรงกระสินธุ์, ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์, ปกเกล้า อนันต์,ชาริล ชัปปุยส์ กองหน้า ศราวุฒิ มาสุข, ชนานันท์ ป้อมบุปผา,อดิศักดิ์ ไกรษร 

เหล่านี้คือชื่อนักเตะที่เราคุ้นชื่อพวกเค้าเหล่านี้เป็นอย่างดี

แต่... อย่าเพิ่งคิดว่าลีกบ้านเราแข็งแกร่ง จนนักเตะเราต้องเก่งกาจประดุจจุติลงมาจากสวรรค์ชั้นเจ็ด เพราะอดีตที่ผ่านมามันได้พิสูจน์แล้วว่า เราไม่เคยดูคนอื่น เรามองแต่ตัวเอง

เราไม่มีการเตรียมตัวที่ดีพอ บริหารงานแย่ ไม่มีคิวอุ่นเครื่อง

แล้วคำตอบของการไม่ดูคนอื่นว่าไปถึงไหนแล้วมันก็คือ ตกรอบ ล้มเหลว และโดนด่า

อย่างที่บอก ว่าฟุตบอลรายการนี้อาจจะไม่ใช่การแข่งขันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ไม่มีคะแนนสะสมในฟีฟ่าแรงค์กิ้ง แต่ “มันคือแรงความเชื่อที่ถูกหลอมรวมกลับมาเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่อีกครั้ง”

เพราะนี่คือ “ซีเกมส์”



ที่มา : http://www.soccersuck.com/boards/topic/950096

เจาะจุดอ่อน 9 ทีม หัวตาราง พรีเมียร์


เจาะจุดอ่อน 9 ทีมนำหัวตารางพรีเมียร์ลีก 

ผ่านไปแล้วกว่าหนึ่งในสามของศึกพรีเมียร์ลีก หลายๆ ทีมเริ่มกลับมาเค้นฟอร์มเก่งได้อีกครั้ง แต่ทีมเหล่านั้นต่างก็ยังมีจุดอ่อนให้มองเห็น โกล ประเทศไทย ขอวิเคราะห์ภาพให้เห็นแบบชัดเจน 

ศึกลูกหนังที่มีความสนุกและความท้าทายที่สุดในโลกอย่างพรีเมียร์ลีก ผ่านไปแล้ว 12 เกม รูปร่างหน้าตาของตารางคะแนนก็เริ่มชัดขึ้นโดยเฉพาะทีมใหญ่ที่เกาะกลุ่มกันอยู่ในหัวตาราง แต่หลายๆ ทีมก็ยังมีการบ้านให้ต้องแก้อีกเยอะ 

แม้บางทีมจะทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในปีนี้ แต่พวกเขาต่างก็มีจุดอ่อนที่เริ่มโผล่ออกมาให้คู่ต่อสู้เห็นและใช้พื้นที่เหล่านั้นในการโจมตีทีมแกร่ง จนแทบไม่มีทีมไหนเลยที่สามารถเก็บชัยชนะได้แบบติดต่อกันเกินสามนัด ว่าแล้วก็ไปเริ่มกันเลยดีกว่า 

1. อาร์เซนอล (ศูนย์หน้าตัวสำรอง) 



ทีมหัวตารางของศึกพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้อย่างไอ้ปืนใหญ่ออกตัวได้อย่างน่ากลัวนับตั้งแต่ได้ตัวเมซุต โอซิล มาร่วมทีม แม้พวกเขาจะแพ้ต่อแอสตัน วิลลามาในเกมแรกด้วยสกอร์ 1-3 

พวกเขานำเป็นจ่าฝูงอยู่ในตอนนี้ ทว่าก็ยังมีแผลใหญ่ที่กลบไว้ไม่มิดซึ่งนั่นก็คือการที่ทีมมีหัวหอกมืออาชีพเพียงรายเดียวเท่านั้นที่พึ่งพาได้ คือ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ที่ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงทุกนัด และถูกเปลี่ยนออกมาพักเพียงแค่สี่เกมเท่านั้น แถมยังเป็นเฉพาะ 15 นาทีสุดท้ายอีกด้วย

หากมองไปถึงตัวสำรองก็แทบไม่มีหัวหอกคนไหนที่จะยืนเป็นหลักแทนดาวยิงชาวเฟรนช์ได้เลยสักคน โดยเฉพาะ นิคลาส เบนท์เนอร์ ที่ ส่วนรายอื่นก็ยังมีอาการบาดเจ็บทั้งยาย่า ซาโนโก้,ธีโอ วัลคอตต์และลูคัส โพโดลสกี้ 

และหากอาร์เซน เวนเกอร์ยังไม่มีความคิดที่จะหาศูนย์หน้าคนใหม่มาแบ่งเบาชิรูด์ เจ้าตัวอาจจะต้องลงเล่นเป็นตัวจริงทั้ง 38 นัดก็เป็นได้ และหากวันใดวันหนึ่งเจ้าตัวมีอาการบาดเจ็บหรือเหนื่อยล้าอย่างเช่นที่เห็นในเกมกับแมนฯยูไนเต็ด ทีมปืนใหญ่อาจจะลำบากก็เป็นได้ 

2. ลิเวอร์พูล (ฟอร์มครึ่งหลังและการเฉลี่ยกันทำประตู) 



ทีมยักษ์หลับจากลุ่มน้ำเมอร์ซีย์ถือว่าโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมในซีซั่นนี้ โดยเฉพาะนับตั้งแต่หลุยส์ ซัวเรซพ้นโทษแบนกลับมาจับคู่กับดาเนียล สเตอร์์ริดจ์ทำประตูจนรั้งอยู่ในหัวตารางของดาวซัลโวในศึกพรีเมียร์ลีกทั้งคู่ 

แต่ทีมหงส์แดงของเบรนแดน ร็อดเจอร์สก็มีจุดอ่อนเช่นกัน อย่างที่หนึ่งก็คือพวกเขาเป็นพวกสิงห์ครึ่งแรก เพราะหากวัดเปอร์เซ็นต์การยิงครึ่งแรกกับครึ่งหลังของพวกเขาแล้ว ครึ่งแรกนั้นทีมมีค่าสูงถึง 75 เปอร์เซ็นต์ แต่ครึ่งหลังกลับมีแค่ 25 เปอร์เซ็นต์หรือนับเป็นหนึ่งในสี่เท่านั้น 

ส่วนที่สองก็คือการที่ทีมฝากความหวังในการทำประตูไว้ที่สองดาวยิงอย่างหลุยส์ ซัวเรซและดาเนียล สเตอร์ริดจ์มากเกินไป เพราะหากดูไปที่นักเตะรายอื่นคนที่ตามมาในดาวซัลโวอันดับ 3 ก็คือสตีเวน เจอร์ราร์ด ที่ยิงประตูไปเพียง 2 ประตูเท่านั้น และที่สำคัญทั้งสองลูกยังมาจากจุดโทษอีกด้วย 

หากวันใดวันหนึ่งกองหน้า SAS โดนปิดตายหรือบอลไม่สามารถลำเลียงไปถึงได้ โอกาสที่พวกเขาจะคว้าสามคะแนนจากคู่ต่อสู้ถือว่าเป็นเรื่องยากมาก 

3. เชลซี (ดาวยิงหมายเลข 9) 



แม้การกลับมาของโชเซ มูรินโญจะทำให้ทีมดูน่ากลัวอีกครั้ง และช่วยให้ทีมกระโดดขึ้นมาเป็นเต็งหนึ่งในการคว้าแชมป์ในซีซั่นนี้ แต่ปัญหาของทัพสิงโตน้ำเงินครามก็ยังแก้ไม่หายโดยเฉพาะเรื่องหัวหอกปืนฝืด การยิงรวมกันของทั้งเฟร์นานโด ตอร์เรส, ซามูเอล เอโต้และเดมบ้า บา มีค่ารวมกันเพียงแค่ 3 ประตูเท่านั้น ซึ่งเท่ากับครึ่งหนึงที่โรเมลู ลูกากูหัวหอกที่ถูกปล่อยให้เอฟเวอร์ตันยืมไปเท่านั้น 

ดาวซัลโวของทีมสิงห์บลูส์ในปัจจุบันกลับเป็นออสการ์ที่ยิงไปแล้ว 5 ประตูตามมาด้วย เอเด็น อาซาร์ที่ยิงไป 4 ประตู และหากทีมสิงโตน้ำเงินครามต้องการกลับมาคว้าแชมป์ลีกอีกครั้ง พวกเขาจำเป็นต้องมีหัวหอกที่ทำประตูให้กับทีมได้อย่างต่อเนื่อง 

4. แมนเชสเตอร์ ซิติ้ (เกมนอกบ้านอันย่ำแย่) 



ทีมเรือใบสีฟ้าของมานูเอล เปเยกรินี ถือว่าเป็นทีมที่น่ากลัวอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในแนวรุกที่พวกเขาระเบิดสกอร์ได้มากที่สุดในลีกขณะนี้คือ 34 ประตู จาก 12 นัด โดยมีค่าเฉลี่ยสูงถึงนัดละเกือบสามประตู และเอาชนะในบ้านทุกนัด 

แต่จุดอ่อนที่ใครหลายคนก็รู้นั่นคือการเล่นนอกบ้านที่เป็นตัวที่รั้งให้พวกเขายังไปได้ไม่ไกลพอสมควรในพรีเมียร์ลีก เพราะเชื่อหรือไม่ว่า ในขณะที่พวกเขาเล่นในบ้านและถล่มทีมอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, นอริช รวมถึงรายล่าสุดอย่างท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ส จะกล้าบุกไปแพ้ทีมซันเดอร์แลนด์, แอสตัน วิลลารวมถึงทีมน้องใหม่อย่างคาร์ดิฟฟ์ ซิติ้ 

สถิติการเล่นเกมนอกบ้านของแมนซิติ้ถือว่าย่ำแย่ยิ่งนัก พวกเขาเอาชนะได้เพียงนัดเดียว (เวสต์แฮม) ส่วนที่เหลือเป็นการเสมออีก 1 และแพ้ไปถึง 4 เกม หากว่ากุนซือชาวชิลีฝันที่จะพาทีมคว้าแชมป์ตั้งแต่การแลนดิ้งในแดนผู้ดีตั้งแต่ปีแรก นี่คือปัญหาที่พวกเขาจำเป็นต้องแก้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

5. เซาแธมป์ตัน (ตัวทีเด็ด) 



มนักบุญถือว่าเป็นจอมเซอร์ไพร์สในช่วงต้นฤดูกาลนี้ หลังทีมที่อยู่กลางตารางเมื่อปีก่อนกลับออกสตาร์ทได้อย่างน่ากลัวภายใต้การนำทัพของเมาริซิโอ ปอเช็ตติโน 

จุดเด่นของทีมนักบุญแดงชนใต้ก็คือเกมรับที่เหนียวแน่น พวกเขาเป็นทีมที่เสียประตูน้อยที่สุดในลีกอังกฤษ (7 ประตู) และที่สำคัญก็คือการเล่นเป็นทีมของพวกเขาโดยเฉพาะสามสตาร์ที่เพิ่งถูกเรียกติดทีมชาติอังกฤษในเกมกระชับมิตรเกมล่าสุดอย่าง ริคกี้ แลมเบิร์ต, อดัม ลัลลานาและเจย์ โรดริเกซ 

แต่สิ่งที่ยอดทีมแห่งถิ่นเซนต์ แมรีส์ ยังขาดอยู่ในตอนนี้ก็คือการที่ทีมไม่มีตัวที่สร้างความแตกต่างหรือที่เรียกกันชัดๆว่าตัวทีเด็ดเลย เพราะดูแล้วในทีมชุดนี้ ยังไม่มีคนไหนที่ถือว่าเป็นสตาร์ประจำทีมเลย 

6. แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (ความต่อเนื่องตลอด 90 นาที) 



ทีมแชมป์เก่าที่ยังโชว์ฟอร์มได้ตะกุกตะกัก ภายใต้การนำทัพของกุนซือคนใหม่อย่างเดวิด มอยส์ ถือว่ามีหลายจุดอ่อนที่เห็นได้ชัดในหลายๆตำแหน่ง โดยเฉพาะในตำแหน่งของกองกลางและกองหลังที่มีส่วนทำให้ทีมต้องทำแต้มตกหล่นไปในหลายๆนัด 

จุดเด่นของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดชุดนี้ก็คือการเล่นโต้กลับเร็วและการมีแนวรุกที่ฝากความหวังได้อย่างโรบิน ฟาน เพอร์ซีและเวย์น รูนีย์ ซึ่งอาจจะรวมถึงเจ้าหนูอัดนาน ยานาไซด้วยก็เป็นได้ 

แต่จุดอ่อนที่ชัดเจนแบบแก้ไม่ตกของปีศาจแดงชุดนี้คือความต่อเนื่องในแต่ละเกม เห็นได้ชัดว่าพวกเขามักจะมีช่วงหนึ่งสักประมาณ 15 นาทีเป็นอย่างน้อยที่ต้องถอยร่นเป็นฝ่ายตั้งรับตลอด ซึ่งสิ่งนี้แหละคือสิ่งที่กุนซือชาวสก็อตต้องแก้ให้ได้โดยไว โดยเฉพาะในตำแหน่งห้องเครื่อง เพราะสังเกตได้เลยว่าทีมปีศาจแดงเป็นทีมใหญ่ที่มีเปอร์เซ็นต์การครองบอลต่ำสุดในตอนนี้ 

และที่สำคัญอีกอย่างในช่วงที่แมนฯยูไนเต็ดไม่ได้มีปราการหลังที่แข็งแกร่งเป็นกำแพงหินอย่าง เนมานยา วิดิช, ริโอ เฟอร์ดินานด์และเอ็ดวิน ฟาน เดอ ซาร์เหมือนในอดีต พวกเขาอาจจำเป็นต้องทำเหมือนทีมอื่นคือการพยายามเป็นฝ่ายครองบอลมากขึ้น ไม่ใช่ตั้งรับรอโต้กลับเพียงอย่างเดียวเท่านั้น 

7. เอฟเวอร์ตัน (จอมทัพหมายเลข 10) 



ทีมท็อฟฟีสีน้ำเงินของโรแบร์โต้ มาร์ติเนซไม่ได้ดูย่ำแย่ลงไปเลยแม้จะมีการเปลี่ยนหัวเรือจากเดวิด มอยส์ เมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมาก็ตาม 

การที่ทีมคว้าตัวโรเมลู ลูกากู มาจากเชลซีได้ในวินาทีสุดท้ายของตลาดซื้อขายนักเตะถือว่าเป็นการตอบโจทย์ชั้นยอดของกุนซือชาวสแปนิช หลังหัวหอกชาวเบลเยียมกดไปแล้ว 7 ประตูจาก 8 นัด ผงาดขึ้นเป็นดาวซัลโวของทีม 

แต่จุดอ่อนของพวกเขาก็คือการที่ทีมไม่มีจอมทัพตัวบงการเกม แม้รอสส์ บาร์คลีย์ดาวรุ่งของทีมจะทำผลงานได้อย่างโดดเด่นแต่หากเทียบเขากับพวกเพลย์เมกเกอร์ทีมอื่นๆ บาร์คลีย์ถือว่าเป็นนักเตะที่มีกระดูกเป็นรองอยู่ และเมื่อมองไปที่ตัวสำรองในตำแหน่งนี้พวกเขากลับไม่มีเลย 

8. นิวคาสเซิล (ตัวสต๊อปเปอร์) 



แม้ทีมสาลิกาดงจะออกสตาร์ทได้อย่างย่ำแย่ จนมีการคาดการณ์กันว่าพวกเขาอาจจะต้องดิ้นรนหนีตายกันอีกครั้งในซีซั่นนี้ แต่การที่ทีมได้ตัวนักเตะอย่างโลอิก เรมี มาร่วมทีม รวมถึงทิม ครูล ที่งัดฟอร์มหนึบขึ้นมาอีกครั้งทำให้พวกเขาขยับขึ้นมาเป็นทีมหัวตารางที่อาจมีลุ้นเล็กๆ ได้ถึงโควต้ายุโรป 

แต่สิ่งหนึ่งที่เดอะ แม็กซ์พายจำเป็นต้องแก้เป็นการด่วนนั่นก็คือเกมรับของพวกเขาโดยเฉพาะในตำแหน่งกองหลังตัวกลาง เนื่องจากว่าหากพวกเขาไม่ได้นายทวารชาวดัตช์ช่วยไว้ สภาพทีมคงเละไปกว่านี้ หลังครูลเซฟแบบจะๆ ช่วยทีมไปแล้วถึง 40 ครั้งจาก 12 แมตช์ ซึ่งถือว่ามากที่สุดในบรรดาโกลในศึกพรีเมียร์ลีกเลยทีเดียว 

9. ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ส (เครื่องจักรสังหาร) 



ทีมไก่เดือยทองของอังเดร วิลลาส โบอาส ถือว่าเป็นทีมหนึ่งที่น่าจับตามองในฤดูกาลนี้ เพราะแม้พวกเขาจะปล่อยตัวแกเร็ธ เบลสตาร์ตัวเก่งออกจากทีมไป แต่พวกเขาก็แปรเปลี่ยนเงินที่ได้มาตรงนั้นแลกกับนักเตะถึง 7 ราย ซึ่งประกอบไปด้วย เปาลินโญ, เอเตียง กาปูว, เอริค ลาเมลา, โรแบร์โต้ โซลดาโด้, วลาด ชิริเชส, นาเซอร์ ชาดลี,คริสเตียน อีริคเซน 

แต่ล่าสุดพวกเขาก็ต้องตกมารั้งอันดับ 9 ของตารางพรีเมียร์ลีก โดยจุดอ่อนที่เห็นได้อย่างชัดเจนนั่นก็คือการทำประตูของพวกเขาที่ย่ำแย่เป็นอันดับที่ 3 ในลีก หลังยิงไปเพียง 9 ประตูเท่านั้น 

หัวหอกตัวความหวังของพวกเขาอย่างโรแบร์โต้ โซลดาโด้ที่เพิ่งคว้าตัวมาจากบาเลนเซีย กลับทำผลงานได้ไม่ตามหวังหลังยิงไปเพียง 4 ประตู ซึ่งสามประตูนั้นเป็นการยิงจากลูกจุดโทษ ในขณะที่หัวหอกตัวสำรองก็ทำผลงานในลีกได้น่าผิดหวังไม่แพ้กันทั้งเจอร์เมน เดโฟที่ยิงแต่ในยูโรป้า ลีกจนเคยชิน รวมถึงเอ็มมานูเอล อเดบายอร์ที่เพิ่งกลับมาซ้อมกับทีมชุดใหญ่เมื่อเร็วๆนี้ 

การเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกของแต่ละทีมไม่ใช่สิ่งที่ได้มาง่ายๆ สิ่งสำคัญก็คือการเอาชนะคู่ต่อสู่ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการเอาชนะจุดอ่อนของตัวเองให้ได้ 

การมีจุดอ่อนของทีมถือเป็นเรื่องธรรมดา เพราะคงไม่มีสโมสรไหนบนโลกที่แข็งแกร่งแบบไร้เทียมทาน แต่เชื่อได้เลยว่าหากสโมสรเหล่านี้สามารถแก้ไข ความสำเร็จในบั้นปลายซีซั่นจะเป็นของขวัญให้แก่การทำงานหนักของพวกเขาตลอดทั้งปีแน่นอน 


สำหรับผมแฟนแมนยู คิดว่ากองหลังมีผลที่สุดนะครับ ตอนนี้ 
ส่วนอาร์เซน่อล กองกลาง มันแน่นมากต้องทำลายกองกลางก่อนครับ
ลิเวอร์พูล SAS นี่โหดจริง เล่นกันแบบไม่หวงบอล อันตรายฟุดๆ 
ที่มา :http://www.soccersuck.com/boards/topic/950602

'แลมพ์ส'เผยเตรียมแขวนเกือกหากกลายเป็นตัวประกอบสิงห์




แฟร้งค์ แลมพาร์ดกองกลางดาววัลโวตลอดกาลของเชลซีก้มหน้ารับว่าเขาคงตัดสินใจแขวนสตั๊ตอำลาสนามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้หากต้องกลายเป็นเพียง"ตัวประกอบ"ของสโมสรในวันข้างหน้า

ดาวเตะวัย 35 ปีที่ยิงประตู 206 และ 207 ใส่เวสต์แฮม ยูไนเต็ดเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาบอกว่าเขาวางแผนที่จะรีไทร์ตราบใดที่ตัวเองไม่มีความสำคัญในสแตมฟอร์ด บริดจ์อีกแล้ว

เมื่อถูกถามว่าเขามองไปไกลว่าฤดูกาลนี้หรือเปล่าแลมพาร์ดตอบว่า"ไม่ ผมไม่มองไปไกลกว่านั้นสำหรับผมแล้วมันเป็นฤดูกาลๆไป"

"ผมรู้สึกฟิตและแข็งแรงดีผมสนุกกับการลงเล่นอย่างสม่ำเสมอและหากผมสามารถแสดงให้เห็นว่าผมดีพอที่จะเล่นต่อไปได้ผมก็จะพยายามทำแบบนั้น"

"การได้อยู่กับเชลซีมา 13 ปีจนถึงตอนนี้ผมไม่ได้มองว่าตัวเองจะไปเล่นในพรีเมียร์ลีกให้กับสโมสรไหนอีกแล้ว นอกอังกฤษก็ด้วย"

"หากผมยังสามารถทุ่มเทให้ที่นี่ได้ต่อไป...ผมไม่อยากเป็นเพียงตัวประกอบ, นั่งอยู่ข้างสนามและไม่ได้ทำอะไรเท่าไหร่แม้ว่าผมจะอายุมากขึ้น ดังนั้นก็เหมือนกับที่ผมพูดไปผมจะค่อยๆไปทีละปี"

เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน สุดยอดผู้จัดการทีม

ประวัติส่วนตัว : เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน
เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน คือผู้จัดการทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลสหราช อาณาจักร โดยคว้าแชมป์มาครองได้เกือบ 40 รายการ รวมถึงพรีเมียร์ ลีก 13 สมัยด้วย ตลอดช่วงการคุมทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ของเขา

เขาก้าวเข้ามายังโอลด์ แทรฟฟอร์ด เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 1986 ก่อนที่จะประกาศวางมือไปเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 2012/13 ที่ผ่านมา
เขาเคยค้าแข้งมาก่อนที่สกอตแลนด์ โดยเล่นให้กับควีนส์ พาร์ค, เซนต์ จอห์นสโตน, ดันเฟิร์มลิน, กลาสโกว์ เรนเจอร์ส, ฟัลเคิร์ก และอายร์ ยูไนเต็ด แต่ช่วงเวลาที่ประสบความสำเร็จที่สุดในวงการฟุตบอลของ เซอร อเล็กซ์ นั้นยังมาไม่ถึง

หลังจากที่แขวนสตั๊ด เขาก็ไปรับงานโค้ช โดยเริ่มต้นอาชีพผู้จัดการทีมที่อีสต์ สเตอร์ลิงเชียร์, เซนต์ เมียร์เรน จากนั้นก็เป็นอเบอร์ดีน ซึ่งที่นี่เขาได้รับการยอมรับเป็นโค้ชระดับท็อปเขาพาทีมปาดหน้า 2 ยอดทีมจากกลาสโกว์คว้าแชมป์ในประเทศสก็อตแลนด์ โดยเป็นแชมป์ลีก 3 สมัย, สก็อตติช คัพ 4 สมัย, ลีก คัพ และยูโรเปี้ยน คัพ วินเนอร์ส คัพ อีกอย่างละสมัย

หลังจากที่ รอน แอตกินสัน ถูกไล่ออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปี 1986 เฟอร์กูสันก็ได้เข้ามานั่งเก้าอี้ตัวนี้ต่อในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด ทันที

ในตอนที่เขาเข้ามาคุมทีม เขาได้รับทีมชุดที่กำลังจะหมดศรัทธาจากแฟนบอล เนื่องจากหล่นอยู่ถึงอันดับที่ 4 จากท้ายตารางดิวิชั่น 1 หน้าที่แรกของเขาจึงต้องเป็นการพาทีมหนีการตกชั้นให้ได้ และแม้ว่าจะไม่ได้เสริมทีมใดๆ เลยในช่วงเปิดตลาด แต่เขาก็ยังพาแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จบอันดับที่ 11 ได้

ถึงตรงนั้นทุกคนต่างเห็นพ้องต้องกันว่าเฟอร์กูสันกำลังเจอกับงานที่ยากไม่ ใช่เล่นที่จะพาสโมสรกลับมาครองความยิ่งใหญ่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นทีมที่เล่นได้อย่างสนุกตื่นเต้น แต่ก็ยังไม่มีความสำเร็จใดๆ เป็นชิ้นเป็นอัน ในฤดูกาลที่ 2 ทีมปีศาจแดงจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ดีขึ้น โดยเป็นอันดับ 2 ตามหลังลิเวอร์พูล แต่การจบอันดับสูงขนาดนั้นก็ตามมาด้วยความคาดหวังที่สูง และจุดเปลี่ยนก็มาถึงในฤดูกาล 1989/90

ในเอฟเอ คัพ ฤดูกาลนั้น ทีมปีศาจแดงถูกจับฉลากให้ต้องออกไปเยือนทุกๆ รอบ และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็คว้าแชมป์รายการแรกในยุคของเฟอร์กูสันมาครองได้สำเร็จ ลี มาร์ติน ยิงประตูโทนในนัดชิงชนะเลิศ นัดรีเพลย์ เอาชนะคริสตัล พาเลซ คว้าแชมป์ไปครอง
และเมื่อได้ถ้วยแรก แชมป์อื่นก็ตามมาอย่างไม่ขาดสายฤดูกาลต่อมาทีมคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ วินเนอร์ส คัพ ไปครองได้อีกที่ร็อตเตอร์ดัม เป็นการเอาชนะบาร์เซโลน่า 2-1 ต้องขอบคุณประตูจาก มาร์ค ฮิวจ์ส จากนั้นในฤดูกาล1991/92 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ได้แชมป์ลีก คัพ มาประดับบารมีเพิ่มอีก

ยังเหลืออีกถ้วยหนึ่งที่เหมือนเป็นจอกศักดิ์สิทธิ์สำหรับแฟนๆ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นั่นก็คือแชมป์ลีกที่พวกเขารอคอยกันมา 26 ปี โดยต้องตกอยู่ภายใต้ร่มเงาของลิเวอร์พูลมาโดยตลอด

และในฤดูกาล 1992/93 การรอคอยอันยาวนานก็สิ้นสุดลง ทีมปีศาจแดงสามารถคว้าแชมป์ลีกมาครองได้สำเร็จ โดยได้รับอิทธิพลจากการย้ายเข้ามาด้วยค่าตัว 1 ล้านปอนด์ของ เอริค คันโตน่า เบียดแอสตัน วิลล่า คว้าอันดับที่ 1 ไปครองจนได้

จากนั้นความสำเร็จก็หลั่งไหลเข้ามา ฤดูกาล 1993/94 ทีมสามารถทำดับเบิ้ลแชมป์ได้ จากนั้นก็มาทำซ้ำได้อีกในฤดูกาล 1995/96 (จากฝีเท้าของพวกเด็กๆ) และก็คว้าแชมป์ลีกเพิ่มได้ในปี 1997 ถึงตรงนี้เป็นอันว่าแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ได้ผงาดขึ้นมาครองความยิ่งใหญ่แทนที่ลิเวอร์พูลไปเรียบร้อยแล้ว

ผลงานที่ยอดเยี่ยมที่สุดของ เซอร์ อเล็กซ์ เกิดขึ้นในฤดูกาล 1998/99 โดยก่อนหน้านี้ไม่เคยมีทีมไหนที่คว้าแชมป์ทั้งพรีเมียร์ ลีก, เอฟเอ คัพ และยูโรเปี้ยน คัพ ได้มาก่อนเลย ที่น่าจดจำก็คือค่ำคืนที่บาร์เซโลน่า เขาตัดสินใจส่งตัวสำรองอย่าง เท็ดดี้ เชอริงแฮม และ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ลงสนาม หลังจากนั้นทุกอย่างก็คือประวัติศาสตร์ ทั้งคู่ช่วยกันยิงประตูให้ทีมพลิกกลับมาคว้าถ้วยแชมเปี้ยนส์ ลีก ได้สำเร็จ เป็นการเติมเต็มการคว้า 3 แชมป์โดยสมบูรณ์

เฟอร์กูสันได้รับยศอัศวินหลังจากความสำเร็จครั้งนั้น และบางคนก็เริ่มมองแล้วว่าเขากำลังจะก้าวลงจากตำแหน่ง โดยเชื่อว่าความท้าทายของเขาได้หมดลงไปเรียบร้อยแล้ว แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นเลย ในฤดูกาลต่อมาคือ 1999/2000 เขาพาทีมคว้าแชมป์ลีก และมาในฤดูกาล 2000/01 ก็ทำได้อีก ทำให้ทีมเป็นแชมป์ 3 สมัยติด แชมป์พรีเมียร์ ลีก สมัยที่ 8 ของเขามาถึงในฤดูกาล 2002/03 ส่วนแชมป์เอฟเอ คัพ สมัยที่ 5 ก็ต้องรอในปีต่อมา เมื่อไปคว้าชัยถึงคาร์ดิฟฟ์ด้วยการเอาชนะมิลล์วอลล์ในนัดชิงชนะเลิศ

ถึงตรงนี้ทีมปีศาจแดงก็อยู่ในช่วงเปลี่ยนถ่ายทีมชุดใหม่ หลังจากหมดยุคนักเตะที่เขาสร้างมากับมือในฤดูกาล 1995/96 เขาเริ่มคว้าตัวนักเตะอย่าง เวย์น รูนี่ย์ และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เข้ามาเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในยุคใหม่

ทีมชุดใหม่นี้เริ่มต้นด้วยการคว้าแชมป์คาร์ลิ่ง คัพ 2005/06 จากนั้นก็ได้แชมป์พรีเมียร์ ลีก สมัยที่ 9 ในฤดูกาล 2006/07 ในเดือนพฤษภาคม 2007 เซอร์ อเล็กซ์ ได้คว้าเอานักเตะใหม่ 3 คนเข้ามาสู่ทีมคือ แอนเดอร์สัน, หลุยส์ นานี่ และ โอเว่น ฮาร์กรีฟส์ นั่นทำให้ทีมยิ่งแข็งแกร่งขึ้นไปอีก และก็สามารถป้องกันแชมป์พรีเมียร์ ลีก ได้ในฤดูกาล 2007/08 แถมยังสุดยอดไปกว่านั้นด้วยการคว้าแชมป์ยุโรปเป็นสมัยที่ 2 สำหรับตัวเขาเอง โดยนักเตะใหม่ทั้ง 3 คนดังกล่าวสามารถยิงเข้าประตูในช่วงดวลจุดโทษที่เอาชนะเชลซีไปได้ในนัดชิง ชนะเลิศ

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังประสบความสำเร็จต่อเนื่องด้วยการคว้าแชมป์สโมสรโลกที่ญี่ปุ่นในเดือน ธันวาคม 2008 จากนั้นทีมปีศาจแดงก็คว้าแชมป์คาร์ลิ่ง คัพ ได้ในเดือนมีนาคม 2009 โดยเอาชนะท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ ไปด้วยการดวลลูกจุดโทษในรอบชิงชนะเลิศ 
วันที่ 16 พฤษภาคม 2009 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ทำภารกิจที่เป็นไปไม่ได้ให้ลุล่วงจนได้ หลังจากที่ เซอร์ อเล็กซ์ ก้าวเข้ามาในปี 1986 เขาตั้งใจจะทาบสถิติแชมป์ลีกสูงสุด 18 สมัยของลิเวอร์พูล และก็มาทำได้สำเร็จในฤดูกาล 2008/09 โดยถือเป็นแชมป์ลีกสมัยที่ 11 ของ เซอร์ อเล็กซ์ จากการคุมทีมทั้งหมด 17 ฤดูกาลด้วย ถือเป็นอะไรที่สุดยอดจริงๆ

และมันก็ยิ่งดีไปกว่านั้นในอีก 2 ปีต่อมา โดยคว้าแชมป์ลีกเหนือเชลซี โดยก่อนหน้านั้นในปี 2010 พวกเขาทำได้เพียงแค่แชมป์รายการเดียวคือคาร์ลิ่ง คัพ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลับมาคว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีก ได้ด้วยลูกจุดโทษที่รูนี่ย์ ซัดใส่แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส และทีมปีศาจแดงก็แซงหน้าสถิติแชมป์ลีกสูงสุดของลิเวอร์พูลได้สำเร็จ

ในวันสุดท้ายของฤดูกาล 2011/12 ถือเป็นอะไรที่ทำร้ายจิตใจแฟนๆ มาก เมื่อแมนเชสเตอร์ ซิตี้ มาคว้าแชมป์ลีกเหนือทีมปีศาจแดงได้ในวินาทีสุดท้ายของฤดูกาลจริงๆ แต่ความผิดหวังนั้นก็ได้มลายหายไปในฤดูกาล 2012/13 ซึ่งถือเป็นฤดูกาลสุดท้ายสำหรับ เซอร์ อเล็กซ์ เขาพาทีมคว้าแชมป์ลีกสมัยที่ 20 ไปครองในขณะที่ยังเหลือเกมให้ลงเล่นอีก 4 เกม

เซอร์ อเล็กซ์ ยังคงมีส่วนเกี่ยวข้องกับสโมสรอยู่ ถึงแม้ว่าจะก้าวลงจากตำแหน่งผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปแล้ว เขาได้รับตำแหน่งเป็นหนึ่งในบอร์ดบริหาร และก็ยังเป็นฑูตสโมสรอีกด้วย





เกียรติประวัติ

ผู้จัดการทีม

เซนต์มิร์เริน

สก็อตติช เฟิร์ส ดิวิชั่น (1): 1976–77

อาเบอร์ดีน

สก็อตติช พรีเมียร์ ดิวิชั่น (3): 1979–80, 1983–84, 1984–85
สก็อตติช คัพ (4): 1981–82, 1982–83, 1983–84, 1985–86
สก็อตติช ลีก คัพ (1): 1985–86
ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ (1): 1982–83
ยูฟ่าซูเปอร์คัพ (1): 1983

แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด

พรีเมียร์ลีก (13): 1992–93, 1993–94, 1995–96, 1996–97, 1998–99, 1999–2000, 2000–01, 2002–03, 2006–07, 2007–08, 2008–09, 2010–11, 2012–13
เอฟเอคัพ (5): 1989–90, 1993–94, 1995–96, 1998–99, 2003–04
ลีกคัพ (4): 1991–92, 2005–06, 2008–09, 2009–10
เอฟเอคอมมูนิตีชีลด์ (10): 1990, 1993, 1994, 1996, 1997, 2003, 2007, 2008, 2010, 2011
ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก (2): 1998–99, 2007–08
ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ (1): 1990–91
ยูฟ่าซูเปอร์คัพ (1): 1991
ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรยุโรปและอเมริกาใต้ (1): 1999
ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก (1): 2008

วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

วิเคราะห์ 4 ทีมเต็งเปรียบรุ่นเฮฟวี่เวตในเวิลด์คัพ2014



ถึงแม้ว่าฟุตบอลโลก ปี 2014 ที่ประเทศบราซิลจะเป็นเจ้าภาพจะมี 32 ชาติผ่านเข้ารอบสุดท้ายไปชิงชัยกัน แต่ทว่าบรรดาบริษัทรับพนันถูกต้องตามกฎหมายของเมืองผู้ดีก็ออกราคาอัตราต่อรองทีมเต็งที่ถูกเปรียบเหมือน ''เวิลด์ คัพ เฮฟวี่เวต'' อยู่เพียงแค่ 4 ทีมเท่านั้น ซึ่งได้แก่ บราซิล, อาร์เจนติน่า, สเปน และเยอรมัน 


  
        แน่นอนว่าการเป็นทีมเต็งแชมป์โลกนั่นจะต้องมีคุณสมบัติหลายๆ อย่างเป็นองค์ประกอบรวมกัน อาทิเช่นกัน ทัพแซมบ้า มีภาษีดีตรงกองเชียร์เพราะเล่นในบ้าน, ส่วนทีมกระทิงดุ มีดีกรีเป็นถึงแชมป์เก่าปี 2010 และยังเป็นแชมป์ยุโรปสองสมัยติดต่อกันในปี 2008 และ 2012 



  
        ขณะที่ทัพฟ้า-ขาว ก็ห่างหายความสำเร็จในเวทีเวิลด์ คัพ นับตั้งแต่คว้าแชมป์โลกล่าสุดเมื่อปี 1986 ทางด้านทัพอินทรีเหล็กก็เป็นทีมคนหนุ่มที่กำลังสุกงอมพร้อมจะชูถ้วยแชมป์โลกแล้วหลังจากเป็นรองแชมป์เมื่อปี 2002 



  
        อย่างไรก็ดี ยังมีองค์ประกอบหลักอีกหลายอย่างที่เป็นเหตุผลทำให้ทั้ง 4 ยอดทีมของโลกน่าจะเป็นทีมเต็งแชมป์โลกที่สูสีกันในเวิลด์ คัพ ปีหน้า ดังนั้นไปติดตามกันเลยว่ามีอะไรบ้าง .... 



  
        อ.ศ.ม. 


บราซิล อันดับฟีฟ่า : 11 อัตราต่อรองแชมป์โลก : 10/3 (โครัล) 



 ฟอร์มของทีม : ในฐานะเจ้าภาพฟุตบอลโลกปีหน้า บราซิล ไม่ต้องเครียดกับการเตะรอบคัดเลือก 


  
        โซนอเมริกาใต้ และไม่ต้องมีนักเตะบาดเจ็บสภาพบอบช้ำ แถมยังสนุกและแฮปปี้ที่ได้นั่งดูคู่แข่งในโซนเดียวกันเตะรอบคัดเลือกห้ำหั่นกันเอง แต่ตอนนี้สิ่งที่ทัพแซมบ้าต้องเพิ่มคือความเฉียบคม หลังจากผลงานในเกมอุ่นเครื่องที่ผ่านๆ มายังไม่มีศักยภาพสูงที่สุดอย่างที่แฟนบอล และคนทั่วโลกตั้งความหวังเอาไว้ 



  
        ในศึกคอนเฟดเดอเรชั่นส์ คัพ เมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา ทัพเซเลเซา สามารถยิงได้ 14 ประตูในการลงเล่น 5 เกม จนคว้าแชมป์ทัวร์นาเมนต์นี้ไปครอง หลังจากนั้น บราซิล ก็เริ่มมีโปรแกรมเตะกระชับมิตร ซึ่งผลชนะฝรั่งเศส 3-0 และชนะ โปรตุเกส 3-1 



  
        ถือว่าเป็นแมตช์ที่แข้งแซมบ้าเล่นได้ดีและดุดัน แต่ทว่ายังมีอีกหลายแมตช์ที่ พวกเขายังเล่นได้ไม่ค่อยน่าประทับใจอย่างแมตช์ที่เฉือนชนะอังกฤษ 2-1 ที่สนามเวมบลีย์ก่อนหน้านี้ หากปีหน้ามาถึงไม่แน่ว่า บราซิล อาจจะผลิตสกอร์และพร้อมมากกว่านี้จนทะลวงตาข่ายคู่แข่งได้แบบไม่หยุดไม่หย่อนก็ต้องติดตามกัน 


โปรแกรมเตะนัดต่อไป 5 มีนาคม 2014 พบกับ  แอฟริกาใต้ ที่โจฮันเนสเบิร์ก 



 ทีมเกรด เอ : บราซิล ได้ที่รู้จักกันดีว่ามีเครื่องหมายการค้าของประเทศ คือเกมฟุตบอล ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา บราซิล เคยคว้าแชมป์โลกมาแล้วห้าสมัย (ปี 1958, 1962, 1970, 1994 และ 2002) ถือว่ามากที่สุดในบรรดาชาติอื่นๆ ที่เข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลโลก 


  
        อย่างไรก็ตาม ในเวิลด์ คัพ 2 ครั้งหลังสุด บราซิล ต้องผิดหวังอกหักตกรอบไปไม่ถึงรอบชิงชนะเลิศ โดยในปี 2006 พ่ายแพ้ให้ฝรั่งเศส 0-1 ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ขณะที่ ปี 2010 โดนฮอลแลนด์ เขี่ยตกรอบด้วยสกอร์  2-1 



  
        ผู้จัดการทีม : ''หลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่''  เคยนำบราซิลคว้าแชมป์โลกครั้งล่าสุดเมื่อปี 2002 และครั้งนี้ดูเหมือนตัวเลือกที่ดียังคงมีให้บิ๊กฟิล จัดทัพล่าแชมป์โลกสมัยที่หก 



เนย์มาร์เป็นผู้เล่นที่น่ากลัวคนนึงของบราซิล

  สตาร์เด่น : ''เนย์มาร์'' เป็นผู้เล่นซูเปอร์สตาร์ที่มีดีทั้งความฟิต, พรสวรรค์ และทักษะที่ดีเยี่ยม ความโดดเด่นด้านการสร้างสรรค์เกม และการหาพื้นที่ก็เป็นอีกจุดเด่น ด้วยเหตุนี้จึงไม่แปลกใจว่าทำไม บาร์เซโลน่า ถึงยอมทุ่มเงิน 50 ล้านปอนด์ ให้กับ ซานโต๊ส เมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา 


  
        โดยกว่าจะถึงบอลโลกปีหน้า เนย์มาร์ ถือว่าได้ค้าแข้งหนึ่งฤดูกาลเต็มในศึกลา ลีกา สเปน ประสบการณ์ในการเล่นกับ ลิโอเนล เมสซี่ และการเจอนักเตะอย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ อาจจะทำให้ เนย์มาร์ กล้าแกร่ง 

  
        เหตุผลที่จะคว้าแชมป์โลก : บราซิล ต้องรอคอยการเป็นเจ้าภาพเวิลด์ คัพ นานตั้งแต่ปี 1950 ด้วยเหตุนี้ทุกอย่างจึงเต็มไปด้วยความรู้สึกหิวกระหายในการคว้าแชมป์บนแผ่นดินบ้านเกิด รวมถึงนักเตะเองก็อยากจะสานฝันให้แฟนบอลรู้สึกเติมเต็มความหวัง 

  
        โดยเฉพาะการที่รัฐบาลทุ่มเงินกว่า 200 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ ในการเตรียมพร้อมเป็นเจ้าภาพครั้งนี้ทั้งการสร้างสนามและสิ่งอำนวยความสะดวก อีกทั้งขุมกำลังที่มีทั้งหมดก็ถือว่าดีเยี่ยมลงตัวตั้งแต่แนวรุกยันแนวรับ โอกาสจะคว้าแชมป์ในแผ่นดินเซเลเซาน่าจะมีโอกาสสูงมากเลยทีเดียว   

  
        เหตุผลที่จะคว้าแชมป์ไม่สำเร็จ : สิ่งแรกคือความกดดันที่ต้องเล่นต่อหน้ากองเชียร์บราซิเลียนที่ตั้งความคาดหวังเอาไว้สูง บางทีก็อาจจะกลายเป็นดาบสองคมถ้าหากนักเตะแบกรับความกดดันมาเป็นความเครียดแทนกำลังใจ

อาร์เจนตินา อันดับฟีฟ่า : 3 อัตราต่อรองแชมป์โลก : 11/2 (โครัล) 



 ฟอร์มของทีม : อาร์เจนตินา ผ่านรอบคัดเลือกไปเล่นรอบสุดท้ายเรียบร้อยแบบสบายหายห่วง ด้วยการเป็นจ่าฝูงของโซนอเมริกาใต้ และแพ้เพียงแค่ 2 จาก 16 เกม ซึ่งมีหลายๆ แมตช์ที่โชว์ฟอร์มอันยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นเกมที่ถล่มชิลี 4-1 และยำใหญ่เหนืออุรุกวัยไปด้วยสกอร์ 3-0 


  
        โดยเฉพาะแมตช์อุ่นเครื่องที่ ลิโอเนล เมสซี่ ทำแฮตทริก ช่วยให้ทัพฟ้าขาวเอาชนะคู่แข่งอย่าง  บราซิล ไปถึง 4-3 เมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2012 




โปรแกรมเตะนัดต่อไป 5 มีนาคม 2014 พบกับโรมาเนีย ที่บูคาเรสต์ 


  
        สายพันธุ์ดี :  จากรุ่นสู่รุ่นอาร์เจนตินามีนักเตะฝีเท้าระดับเวิลด์คลาสมาโดยตลอด ไม่ว่ายุคไหนทศวรรษไหน ไม่ว่าจะเป็นยุคที่ ''เสือเตี้ย'' ดีเอโก้ มาราโดน่า พาทีมฟ้าขาวคว้าแชมป์โลกสมัยที่สองเมื่อปี 1986 หลังจากเคยคว้าแชมป์โลกในบ้านได้เมื่อปี 1978 



 ตลอดเวลาที่ยาวนานดูเหมือน แข้งอาร์เจนไตน์จะมีความมุ่งมั่นและความหิวกระหายที่ไล่ถ้วยเวิลด์ คัพ มาครองเป็นสมัยที่สามให้จงได้ เนื่องจากปัจจุบันทีมชุดนี้ถือว่าดีพร้อมไร้ที่ติโดยเฉพาะผู้เล่นในแนวรุกที่ค้าแข้งในสโมนชั้นนำของยุโรป 


  
        ผู้จัดการทีม : อเลฮานโดร ซาเบย่า เคยเล่นให้กับทีมเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด และลีดส์ ยูไนเต็ด ได้รับการแต่งตั้งเมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2011 จึงน่าจะมีความรอบรู้ผสมผสานในการทำทีมทั้งลูกพื้นดินที่เป็นของถนัดของบอลอเมริกาใต้ และลูกกลางอากาศของยุโรป เห็นผลงานได้จากรอบคัดเลือกที่นำทีมชนะ 15 จาก 22 แมตช์ ในการทำหน้าที่กุมบังเหียน 



  
        สตาร์เด่น : ลิโอเนล เมสซี่ ชื่อนี้ไม่ต้องบรรยายสรรพคุณอะไรมากมาย ทั้งรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของโลกและรางวัลบัลลง ดอร์ พร้อมกับการสร้างสถิติมากมาย และคว้าแชมป์มาครองได้ทั้งการทีมคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก หรือแชมป์ ลา ลีกา แต่ทั้งหมดเกิดจากการค้าแข้งอาชีพกับต้นสังกัดบาร์เซโลน่า ทว่ากับ เมสซี่ ยังไม่เคยประสบความสำเร็จทีมชาติอาร์เจนตินา ครั้งนี้จึงน่าจะเป็นอีกแรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้มุ่งมั่นพาทัพฟ้า-ขาวไปถึงจุดสูงสุด 




เหตุผลที่จะคว้าแชมป์โลก : บราซิล น่าจะมีคู่แข่งสำคัญก็คือ อาร์เจนตินา และดูเหมือนจะเป็นการวัดว่าชาติไหนจะสุดยอดที่สุดในโลก และในอเมริกาใต้อีกด้วย การที่ ซาเบย่า มีตัวชูโรงเป็น ''เมสซี่'' ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ทำให้หลายๆ ทีมต้องจัดแนวรับสู้อย่างรัดกุม 


  
        และสร้างความหวั่นกลัวให้กับแผงหลังคู่แข่งอยู่เหมือนกัน แถมแผงมิดฟิลด์ยังมีผู้เล่นดีๆ อย่าง มักซี่ โรดริเกซ, ฮาเวียร์ มาสเคราโน่ และ อังเคล ดิ มาเรีย ส่วนแผงกองหน้ายังมีให้เลือกตั้งแต่ เซร์คิโอ ''กุน'' อเกวโร่, กอนซาโล อิกัวอิน และ เอเซเกล ลาเวซซี่  ดูแล้วอาร์เจนตินาก็มีภาษีดีมากพอที่จะเป็นแชมป์โลก 



  
        เหตุผลที่จะคว้าแชมป์ไม่สำเร็จ : บางครั้งประสบการณ์ในการพาทีมประสบความสำเร็จก็สำคัญ ซาเบย่า ยังถูกมองว่ามือไม่ถึงชั้นที่จะนำทีมนักเตะระดับคุณภาพไปสู่เป้าหมายอันสูงสุดได้  




  
        สเปน อันดับฟีฟ่า : 1 อัตราต่อรองแชมป์โลก : 6/1 (โครัล) 








        ฟอร์มของทีม : ถึงแม้การป้องกันแชมป์โลกดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องยากของสเปน หลังจากทัพกระทิงดุเพิ่งป้องกันแชมป์ยุโรปเมื่อปี 2012 จนคว้าแชมป์ยุโรปได้สองสมัยติดต่อกัน แต่ฟอร์มในการอุ่นเครื่องไม่ค่อยจะสวยหรูมากนัก ทั้งการเสมอกับฝรั่งเศส และฟินแลนด์ในบ้าน 


  
        รวมถึงในทัวร์นาเมนต์คอนเฟดเดอเรชั่นส์ คัพ ที่สเปนพ่ายแพ้ให้บราซิล 0-3 ในรอบชิงชนะเลิศ ดูเหมือนฟอร์มของทัพกระทิงดุยังแปลกๆ และฟอร์มที่เบียดชนะ อิเควทอเรียลกินี 2-1 ทั้งที่กินีอยู่อันดับที่ 119 ของโลกแท้ แต่หลังจบฤดูกาลน่าจะทำให้แข้งสแปนิชมีความฟิตมากกว่านี้ 




  
        โปรแกรมเตะนัดต่อไป 5 มีนาคม 2014พบกับอิตาลี , กรุงมาดริด ประเทศสเปน 








        สายพันธุ์ดี : ทศวรรษนี้ต้องยกให้สเปน เป็นยอดทีมของโลกอย่างแท้จริง เพราะการครองอันดับหนึ่งของโลกไม่ใช่แค่เรื่องธรรมดา นับตั้งแต่คว้าแชมป์ยุโรปเมื่อปี 2008 ต่อด้วยแชมป์โลก ปี 2010 และป้องกันแชมป์ยุโรปในปี 2012 ส่วนสำคัญเพราะแข้งจากแดนกระทิงดุมีทักษะฟุตบอลที่อัจฉริยะและมีความพรสวรรค์สุดยอดแทบทุกคน จึงต้องยอมรับว่ายุคนี้พ่อแข้งสเปนมีความโดดเด่นที่สุด 


  
        ผู้จัดการทีม : บิเซนเต้ เดล บอสเก้ เข้ามาสานต่อความสำเร็จต่อจาก หลุยส์ อราโกเนส ที่พาสเปนคว้าแชมป์ยุโรปเมื่อปี 2008 ด้วยการพาทีมคว้าแชมป์โลก และต่อด้วยการป้องกันแชมป์ยุโรปเมื่อปีที่แล้ว ด้วยเหตุนี้มีโอกาสถึง 81 เปอร์เซ็นต์ที่กุนซือคนนี้จะพาทีมประสบความสำเร็จป้องกันแชมป์เวิลด์ คัพ ปีหน้าได้เหมือนกัน 



  
        สตาร์เด่น : ต้องถามกลับว่าสตาร์เด่นจะเอาใครบ้างดี ? ไล่ตั้งแต่ อันเดรส อิเนียสต้า, ชาบี เอร์นานเดซ, ชาบี อลอนโซ่, ดาบิด บีย่า, ดาบิด ซิลบา, ซานติ กาซอร์ล่า, เชส ฟาเบรกาส, เฟร์นานโด ตอร์เรส , ฆวน มาต้า, เฆซุส นาบาส และ อัลบาโร่ เนเกรโด้ ทั้งหมดเป็นนักเตะระดับโลกที่กำลังอยู่ในช่วงฟอร์มดี และสามารถเป็นดาวเด่นให้กับทัพกระทิงดุได้ทั้งหมด 



  
        เหตุผลที่จะคว้าแชมป์โลก : มาตรฐานการเล่นฟุตบอล และทักษะของนักเตะแต่ละคนเป็นคุณสมบัติสำคัญที่จะทำให้คว้าแชมป์เวิลด์ คัพ นักฟุตบอลสเปนมีวินัยในการฝึกซ้อมอย่างสูง และทุกคนไม่มีความประมาทในตนเอง จึงมีโอกาสสูงทีเดียวที่พวกเขาจะได้แชมป์โลกสองสมัยซ้อน 



  
        เหตุผลที่จะคว้าแชมป์ไม่สำเร็จ : บางครั้งเวลาผ่านไปอายุความโรยความกรอบของร่างกายจากฤดูกาลก็อาจจะส่งผลกระทบต่อตัวนักเตะ และสเปนชุดนี้ก็ผ่านจุดสูงสุดมาแล้ว บางทีแรงหิวกระหายในชัยชนะอาจจะน้อยกว่าการคว้าแชมป์โลกครั้งแรกก็เป็นได้ 
  
        เยอรมัน อันดับฟีฟ่า : 2 อัตราต่อรองแชมป์โลก : 5/1 (โครัล) 







        ฟอร์มของทีม : การผ่านรอบคัดเลือกไปเล่นฟุตบอลโลก 2014 ของเยอรมัน ถือว่าทำได้อย่างสุดยอด หลังจาก 10 แมตช์ไม่มีคำว่าปราชัยเลย แถมยังยิงได้ 36 ประตู ก่อนจบรอบคัดเลือกด้วยการเป็นจ่าฝูงของกลุ่ม มี 8 แต้ม โดยเกมเดียวที่ไม่ชนะคือเสมอกับ สวีเดน 4-4 ในกรุงเบอร์ลิน หลังจากนำก่อนถึง 4 ประตูแต่เจอทีเด็ดของแข้งไวกิ้งเข้าให้เลยทำได้แค่แต้มเดียว 


         
  
        ส่วนผลงานอุ่นเครื่อง เยอรมัน เคยชนะทั้ง ฝรั่งเศส และ เอกวาดอร์ และแพ้ให้กับสหรัฐอเมริกา ก่อนจะมาเสมอกับ ปารากวัยและ อิตาลี จากฟอร์มการเล่นของทีมมีเกมรุกที่ดุดันแต่แนวรับยังต้องช่วยกันทำงานให้มากกว่านี้ 



         
  
        โปรแกรมเตะนัดต่อไป 5 มีนาคม 2014 พลกับชิลี ที่เมืองสตุ๊ตการ์ท ประเทศเยอรมัน 



         





        สายพันธุ์ดี : เยอรมัน เป็นอีกชาติที่มีฟุตบอลเป็นสัญลักษณ์ของประเทศก็ว่าได้ แต่การเข้าใกล้ความสำเร็จมากที่สุดคือการทะลุถึงรอบชิงชนะเลิศ ในปี 2002 ก่อนจะเป็นแค่รองแชมป์โลกหลังจากเคยครองแชมป์เวิลด์คัพมาแล้วสามครั้งในปี 1954, 1974 และ 1990 


         
  
        ผู้จัดการทีม : โยอัคคิม เลิฟ เป็นกุนซือที่มีชื่อเสียงด้านรูปร่างหน้าตาและฝีมือการคุมทีมชาติอย่างมาก ผลงานที่โดดเด่นในฟุตบอลโลก 2006 ทำให้ผู้จัดการทีมคนหนุ่มรายนี้ได้รับกำลังใจจากแฟนๆ เมืองเบียร์ จากการสร้างทีมอินทรีเหล็กให้มีความจัดจ้านในด้านเกมรุกและมีขุมกำลังสายเลือดใหม่ขึ้นมาทดแทนคนเก่าๆ ที่โรยราไป 



         


  
        สตาร์เด่น : ถือว่ายากที่จะเลือกสตาร์เด่นของเยอรมัน แต่สุดท้ายต้องยกให้ เมซุต โอซิล เพลย์เมกเกอร์จากสโมสรอาร์เซน่อล ที่มีส่วนสำคัญกับเกมรุกของทีมชาติชุดนี้อย่างมากแถมประสบการณ์ที่เคยเล่นในลา ลีกา ก่อนมาเล่นในพรีเมียร์ลีก ยิ่งทำให้กองกลางรายนี้มีคุณสมบัติเพียบพร้อมและเป็นระดับเวิลด์คลาสของจริงที่พร้อมจะเจอกับคู่แข่งชาติไหนก็ได้ในโลกตอนนี้ 



         







        เหตุผลที่จะคว้าแชมป์โลก : หลังจากฟุตบอลบุนเดสลีกา เยอรมัน ประสบความสำเร็จในระดับสโมสรจากการคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ ลีก ของทีม บาเยิร์น มิวนิค ทำให้นักเตะหลายคนฝีเท้ายกระดับขึ้นมากทั้งในแผงมิดฟิลด์และโดยเฉพาะแผงกองหน้า ไม่ว่าจะเป็นมาริโอ เกิทเซ่, ซามี่ เคดิร่า, มาร์โค รอยส์, โธมัส มุลเลอร์ และ บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ ทั้งหมดมีส่วนสำคัญทำให้ทีมเยอรมันชุดนี้แข็งแกร่งน่ากลัวมากที่สุดในทศวรรษนี้ 


         


  
        เหตุผลที่จะคว้าแชมป์ไม่สำเร็จ : การเจอกับคู่แข่งที่ดีกว่าและแข็งแกร่งอาจจะทำให้เยอรมันชุดนี้ผิดหวังกลับบ้านไปก็ได้ถ้าหากเจอคู่แข่งหินๆ ตั้งแต่แรก เพราะนักเตะพลังหนุ่มมีตัวแปรเรื่องของสภาพจิตใจ 


Blogger templates